วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กัญชาช่วยรักษามะเร็งบางมุมจากวงการวิทยาศาสตร์และการแพทย์


โดย ประสาท มีแต้ม
บทความเรื่อง “กัญชาช่วยรักษามะเร็ง : ข่าวที่ถูกเซนเซอร์มากที่สุดแห่งทศวรรษ!” เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้รับความสนใจจากผู้อ่านจำนวนมาก ผู้แสดงความคิดเห็นส่วนใหญ่เห็นด้วยและนำไปเผยแพร่ต่อ (share) แต่บางท่านบอกว่าไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาอ้างอิงหรืออธิบายกลไกการรักษา ในบทความชิ้นนี้ผมจะพยายามครับ แต่ทั้งนี้ก็ต้องให้เหมาะสมกับผู้อ่าน “หนังสือพิมพ์รายวัน” ที่ไม่ใช่ “วารสารการแพทย์” นอกจากนี้ผมเองเป็นนักวิทยาศาสตร์สาขาคณิตศาสตร์ซึ่งห่างไกลจากเรื่องนี้มาก แต่ที่เขียนก็เพื่อกระตุ้นให้สังคมและบุคคลที่อยู่ในวงการให้มาช่วยกันศึกษาปัญหาสำคัญของมนุษยชาติและของเราทุกคนด้วย
       
        ผมได้เขียนไว้ในเฟซบุ๊กว่า “หลังจากได้ค้นคว้าเรื่องกัญชากับมะเร็งมาได้หนึ่งสัปดาห์ บวกกับประสบการณ์บางอย่าง ทำให้ผมรู้สึกในขณะนี้ว่า ผมควรจะเลิกสนใจค้นคว้าเรื่องอื่นๆ ทั้งหมด แล้วมาสนใจเรื่องกัญชาอย่างเดียว รูปแบบการเอาเปรียบและฆ่าคนอย่างเลือดเย็นของระบบทุนนิยมมันช่างเหมือนกับขั้นตอนที่ผมเคยสรุปในเรื่องพลังงานว่า “หนึ่งล้างสมองสองปล้น” ไม่มีผิด” พร้อมกันนี้ผมได้แนะนำเว็บไซต์ที่น่าสนใจ (http://www.cannabisculture.com/articles/5169.html) รวมถึงวิธีการสกัดกัญชาใช้รักษาตนเองด้วย
       
        ในเรื่องพลังงาน พ่อค้าจะล้างสมองเราว่าพลังงานหมุนเวียนซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายนั้น ไม่มีประสิทธิภาพและไม่คุ้มทุน เมื่อทำให้คนเชื่ออย่างนั้นได้แล้ว จึงวางนโยบายพลังงานที่ต้องใช้เชื้อเพลิงที่เขาสามารถผูกขาดได้แต่ชาวบ้านเข้าถึงไม่ได้ เรื่องกัญชาก็เช่นเดียวกัน โหมโฆษณาจนคนเชื่อว่าอันตรายอย่างโน้นอย่างนี้แล้วก็ออกกฎหมายห้ามใช้เสียเลย ทั้งๆ ที่ทุกคนสามารถปลูกได้ในสวนครัวหรือกระถาง 
       
        จริงๆ แล้วผมค้นคว้าเรื่องกัญชาจากหลายแหล่งมาก สิ่งที่ผมทึ่งมากๆ ก็มาจากเอกสาร “สมาคมวิทยาศาสตร์ทางระบบประสาท (Society for Nuroscience)” ฉบับธันวาคม 2007 (www.sfn.org/briefings) ที่สรุปว่า ปกติแล้วร่างกายเราจะผลิตสารเคมีชนิดหนึ่งขึ้นมาเอง และสารตัวนี้มีอยู่ในกัญชา สร้างขึ้นมาเพื่ออะไร ก็เพื่อการกำกับควบคุมเกือบทุกกระบวนการทำงานของสมองและร่างกาย “เพื่อความถูกต้องผมขอคัดลอกข้อความดังนี้ The body makes its own versions of this ingredient, called endocannabinoids, which help regulate almost all brain and body processes.”




Dr.Jeffrey Dach แพทย์ชาวอเมริกันที่เขียนหนังสือและบทความวิจัยจำนวนมาก กล่าวไว้ในบล็อกของท่านว่า “กัญชาได้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์มานานกว่า 4 พันปีแล้ว ในจีนโบราณ อียิปต์ อินเดีย กรีกโบราณ…ในศตวรรษที่ 19 กัญชาถูกใช้เป็นยาสามัญทั่วโลก ใช้บรรเทาความเจ็บปวดเบื้องต้นจนกระทั่งมีการค้นพบยาเอสไพริน (ในปี พ.ศ. 2442) ในสหรัฐอเมริกาได้ประกาศห้ามใช้กัญชาในปี พ.ศ. 2480 ด้วยกฎหมายฉบับหนึ่ง ปัจจุบันการใช้กัญชาในวงการแพทย์อย่างถูกกฎหมายมีหลายประเทศ ได้แก่ แคนาดา เบลเยียม ออสเตรีย สเปน เนเธอร์แลนด์ อิสราเอล ฟินแลนด์ และใน 14 รัฐของสหรัฐอเมริกา” 
       
       ในเดือนพฤศจิกายน 2550 รายการของบีบีซีรายงานว่า “นักวิจัยในแคลิฟอร์เนียพบว่าสาร Cannabidiol (มีในกัญชา) สามารถต่อต้านมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ” 
       
       นายแพทย์ Dach ได้อ้างถึงคำอธิบายของศาสตราจารย์ทางชีววิทยามหาวิทยาลัยโคโลราโดท่านหนึ่งว่า “สาร Cannabidiol จะฆ่าเซลล์มะเร็ง ฆ่าเนื้องอกและปกป้องอวัยวะที่อยู่รอบๆ นั้น” ศาสตราจารย์ท่านนี้สรุปว่า
       


        “สารประกอบต่างๆ ในกัญชาทำหน้าที่ควบคุมกำกับทุกอย่างในร่างกายมนุษย์ กัญชาคือยามหัศจรรย์ ทุกอย่างในร่างกายได้รับดูแลรักษาด้วย endocannabinoids การใช้ประโยชน์จากกัญชาจะมีผลอย่างมากในการสร้างใหม่และฟื้นฟูร่างกายจากโรคต่างๆ โรคส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับวัยและสารพิษมีความสัมพันธ์กับสารในกัญชาดังกล่าว” 
       
       เราอาจจะเป็นห่วงว่า ถ้าให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายแล้วจะทำให้คนหันมาเสพติดกัญชากันมาก แต่กราฟข้างล่างนี้เป็นการเปรียบเทียบจำนวนร้อยละของวัยรุ่นสหรัฐอเมริกาที่สูบกัญชา พบว่าในรัฐที่ถูกกฎหมายมีวัยรุ่นเสพกัญชามากกว่ารัฐที่ผิดกฎหมายเพียงเล็กน้อย คือประมาณ 1% เท่านั้น ดังนั้น ทำไมเราจะต้องทุ่มเทงบประมาณและบุคลากรจำนวนมหาศาลไปกับเรื่องนี้ด้วยเล่า?
 ในด้านการผลิตยา Rick Simpson ผู้ป่วยที่ใช้กัญชารักษาตนเองกล่าวว่า กว่าศตวรรษมาแล้วที่บริษัทยาขนาดใหญ่ทั่วโลกได้ยึดเอาการรักษามะเร็งและโรคอื่นๆ มาอยู่ในมือของบริษัททั้งหมดเพื่อผลกำไรของตนเอง เมื่อ 85 ปีก่อนประชาชนทั่วโลกเคยใช้กัญชาซึ่งพบในธรรมชาติเป็นยา บริษัทยาจำนวนมากก็ผลิตยาจากกัญชามาหลายทศวรรษ ต้นกัญชาเป็นพืชจึงไม่มีการจดสิทธิบัตร สำหรับบริษัทยาแล้ว การไม่มีสิทธิบัตรหมายถึงการไม่ได้เงิน ดังนั้นจึงไม่มีแรงจูงใจในการผลิตยา
       
       การให้กัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมายจึงเป็นเรื่องผลประโยชน์ของบริษัทยาที่อิงแอบอยู่เบื้องหลังรัฐบาลมากกว่าเหตุผลอื่น บรรทัดสุดท้ายนี้ผมสรุปเองครับ
“กัญชาช่วยรักษามะเร็ง”: ข่าวที่ถูกเซนเซอร์มากที่สุดแห่งทศวรรษ!
ผมเขียนเรื่องนี้เพราะมีแรงบันดาลใจสองอย่างครับ คือ หนึ่ง มีเพื่อนคนหนึ่งป่วยเป็นมะเร็งแต่ปฏิเสธการรักษาด้วยวิธีการที่โรงพยาบาลนิยมใช้กัน เขาพยายามรักษาตนเองด้วยกัญชาแต่ก็มีปัญหาคือหากัญชาหรือตัวยาสำเร็จรูปที่มีขายในต่างประเทศไม่ได้ซึ่งผมจะค่อยๆ เล่าให้ฟัง และ สอง ผมได้อ่านบทความของคุณหมอวิจารณ์ พานิช ที่เกี่ยวกับกัญชาถึง 3 ชิ้น คือ “วิจัยกัญชาครบวงจร” “กัญชาเป็นยา” และ “กัญชารักษามะเร็ง”
       
        ผมขอเริ่มต้นด้วยบทความของท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ก่อนนะครับ ในบทความชิ้นแรก(18 ก.ย. 52) ท่านได้ตั้งเป็นโจทย์วิจัยว่า “ประเทศไทยควรใช้กัญชาแทนยาราคาแพงอะไรบ้าง ในผู้ป่วยกลุ่มไหนบ้าง โดยต้องระมัดระวังอะไรบ้าง คิดไปคิดมาน่าจะเป็นชุดโครงการวิจัยกัญชาครบวงจร ตั้งแต่การออกกฎหมายใหม่ ให้จำหน่ายกัญชาได้อย่างมีกฎเกณฑ์ ระมัดระวังผลร้าย ไปจนถึงการคัดพันธุ์ วิธีปลูก วิธีเก็บและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวไปจนถึงการแปรรูป ระบบlogistics และการจำหน่ายไปจนถึงการเสพอย่างปลอดภัย เวลานี้ ใน 12 รัฐของสหรัฐอเมริกา การจำหน่ายและเสพกัญชาถูกกฎหมายและอีก 15 รัฐ กำลังพิจารณา” 
       
        ในตอนท้ายท่านอาจารย์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “สังคมไทยถูกหลอกไม่ให้ผลิตสินค้าที่เราผลิตได้ดี กัญชาถูกทำให้เป็นสิ่งเลวร้ายทั้งๆ ที่มันมีคุณค่าอย่างยิ่งถ้าเรารู้จักใช้มัน ที่จริงกัญชาน่าจะเป็นพืชผักสวนครัวของทุกบ้านโดยที่คนไทยทุกคนรู้คุณและโทษของมันและเราควรส่งออกกัญชาคุณภาพสูงให้เป็นคุณแก่โลก” 
       
        ในบทความชิ้นที่สาม (30 ม.ค. 54) ท่านได้สารภาพว่า ความรู้ของท่านได้เพิ่มขึ้นจากบทความชิ้นที่สองดังตอนหนึ่งที่ว่า “ความเข้าใจเดิมของผมผิดที่เข้าใจว่ากัญชาเพียงช่วยลดความทุกข์ทรมาน เพราะมีฤทธิ์ลดปวดและลดความวิตกกังวล ดังนั้นหากกัญชามีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งได้ก็ยิ่งสมควรใช้กัญชาเป็นยา ทั้งยาสมุนไพรและยาแผนปัจจุบัน ประเทศไทยจะได้มีสินค้าคุณภาพสูงและราคาแพงสำหรับส่งออก เพราะภูมิอากาศของประเทศไทยเหมาะต่อการผลิตกัญชาคุณภาพสูง เราต้องช่วยกันกระตุ้นให้แก้ไขข้อตกลงระหว่างประเทศ ที่ตั้งป้อมรังเกียจกัญชา มีคนบอกว่า เป็นเล่ห์ของบริษัทยายักษ์ใหญ่ ที่ต้องการกีดกันคู่แข่งสินค้าของตน” 
       


        เพื่อนที่ป่วยคนนี้ของผมเป็นนักค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ตชั้นยอดเลยทีเดียว ตั้งแต่เขาเริ่มป่วยเขาเคยเล่าให้ผมฟังเมื่อ 2-3 ปีมาแล้วว่า “มีเด็กชาวบราซิลคนหนึ่งเป็นเนื้องอก (หรือเป็นมะเร็งผมจำไม่ได้แน่นอน)ในสมอง การแพทย์แผนปัจจุบันหมดทางรักษา ต่อมาเด็กมีอาการปวดอย่างรุนแรงมาก พ่อแม่ทนดูไม่ได้จึงให้กินกัญชาเพื่อระงับอาการปวด กินไปกินมาปรากฏว่าเด็กคนนี้หายเป็นปกติ เนื้องอกในสมองก็หายไป” 
       
        ขอเรียนย้ำว่า ผมฟังมาอย่างนี้ ขอผู้อ่านโปรดใช้วิจารญาณเอาเองนะครับ แต่ที่เล่ามาก็ด้วยความหวังว่าท่านที่มีความรู้จะช่วยกันศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อให้ “เป็นคุณต่อโลก”อย่างไรก็ตาม ผมก็ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมในบางประเด็นที่ผมคาดว่าท่านผู้อ่านทั่วไปคงจะสนใจ แล้วก็นำมาเล่าต่อในที่นี้ โดยใช้คำหลักว่า “Marijuana and cancer”
       
        พบว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริการู้ว่า “กัญชาสามารถรักษามะเร็งได้” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 แต่ก็เก็บเงียบเป็นความลับไม่ให้ประชาชนรู้เพราะมีกฎหมายว่ากัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ประชาชนเพิ่งได้รับทราบข่าวนี้ในอีก 26 ปีต่อมา เรื่องนี้จึงถูกจัดเป็น “ข่าวที่ถูกเซนเซอร์มากที่สุดแห่งทศวรรษ” 
       
        ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนชาวอเมริกันเมื่อปี 2554 พบว่าร้อยละ 50 เห็นด้วยที่จะให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ในขณะที่เมื่อ 6 ปีก่อนมีผู้เห็นด้วยเพียง 36% เท่านั้น
       
        ปัจจุบันจำนวนรัฐที่ถือว่ากัญชาเป็นสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมายได้เพิ่มขึ้นเป็น 16 รัฐ (แต่ไม่ทราบว่ามีการควบคุมหรือกติกาอย่างไร) ในปลายปีนี้ รัฐโคโลราโด จะมีการลงประชามติในเรื่องนี้
       


        ปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยที่ได้ลงทะเบียนเพื่อขอรักษาด้วยกัญชาได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในหลายประเทศ เช่น อิสราเอล แคนาดา เนเธอร์แลนด์ ในรัฐมิชิแกนของสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยมาลงทะเบียนถึงกว่า 1.3 แสนคน (ประมาณ 1.3% ของประชากรทั้งหมดของรัฐ) ถ้ารวมหมดทุกรัฐก็เกือบหนึ่งล้านคน
       
        ในด้านประสิทธิภาพของตัวยาจากกัญชา งานวิจัยของมหาวิทยาลัย Harvard ( Science Daily Apr. 17, 2007) จากการทดลองกับหนูที่ฉีดเซลล์มะเร็งปอดในคนเข้าไป กัญชาสามารถลดขนาดของเนื้องอกได้ 50% เมื่อเทียบกับหนูที่ไม่ได้ใช้กัญชา และสามารถลดความสามารถในการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังสามารถลดอาการบวมอักเสบได้ถึง 60% ทั้งนี้ภายในเวลาเพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น
       
        มีการคาดการณ์กันว่า รัฐโคโลราโดจะมีรายได้จากการเก็บภาษีธุรกิจยาที่ผลิตจากกัญชาปีละ 40 ล้านดอลลาร์ ขอแถมอีกนิดครับ จากเอกสารที่ผมอ่านพบว่า กัญชา 6 ต้น สามารถสกัดน้ำมันกัญชาได้ 28 กรัม (เปรียบเทียบกับยาสีฟันขนาดกลางมีน้ำหนัก 160 กรัม สามารถใช้ได้หลายเดือน) สำหรับวิธีสกัดสามารถค้นได้จาก YouTube ครับ แต่ปัญหามีอยู่ว่าจะเอาต้นกัญชามาจากไหน ในเมื่อกัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมายสำหรับคนบริสุทธิ์ที่ถูกจับได้ในประเทศไทย แต่สำหรับนักค้ายาเสพติดมักจะไม่ถูกจับครับ
       
        ผมถามลูกศิษย์หลายคนที่เป็นแพทย์ว่าทำอย่างไรให้ได้ยาที่สกัดจากกัญชา เขาตอบว่าเมืองไทยไม่มีถ้าจะซื้อมาจากต่างประเทศ “ใครถือมาก็ถูกจับ” ผมว่าวิธีการที่รัฐไทยทำอยู่นี้เป็นการฆ่าคนไทยอย่างเลือดเย็น
       
        สุดท้ายผมขอถามท่านผู้อ่านก็แล้วกันว่า “ครอบครัวใดไม่มีคนเป็นมะเร็งเลยยกมือขึ้น” และสุดท้าย (ที่ไม่ใช่ประเด็นใหม่) คือเท่าที่ผมค้นเจอ กัญชารักษาโรคเอดส์ได้ด้วย แค่สองโรคนี้คนไทยเป็นกันนับล้านคนครับ...




ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:


www.manager.co.th



3 ความคิดเห็น:

  1. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  2. สวัสดีทุกคนผมได้รับการวินิจฉัยขั้นตอนที่ 3 โรคมะเร็งปอดในเดือนมิถุนายนปีที่ผ่านมาและหลังการผ่าตัดทุกอย่างที่อาจจะเห็นถูกนำ ฉันพยายามคีโมเป็นเวลา 2 สัปดาห์และมีการควบคุมของปอดของฉันอีก 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มี ไม่เคยจะมีคีโมอีกครั้ง! ฉันได้เพียงแค่มี 7 เดือนกับลูกสาวของฉันในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ผมสามารถที่จะซื้อน้ำมันกัญชาจากน้ำตาฟินิกซ์พลัส (phoenixtearsplus@aol.com) และการเรียนการสอนเกี่ยวกับวิธีการใช้น้ำมันกัญชาในการรักษาโรคมะเร็งของฉัน
    โชคดีที่ CT scan ล่าสุดเห็นมีเนื้องอกในปอดของฉันและตับและโรคมะเร็งได้หายไปและหาย นั่นคือวิธีที่น้ำมันกัญชาฆ่ามะเร็งและบรรเทาความเจ็บปวดของฉันของฉัน
    ผมเขียนนี้จะแจ้งให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งทั้งหมดออกมีที่น้ำมันกัญชาคือการรักษาทางเลือกสำหรับโรคมะเร็งและรักษาโรคมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องมีผลข้างเคียงใด ๆ

    ติดต่อน้ำตาฟินิกซ์พลัส
    อีเมล์: phoenixtearsplus@aol.com
    โทรศัพท์: +1 253-656-0570

    ตอบลบ