This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

13 เทคนิคการป้องกันตัวเองเมื่อจอดรถ​...ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ


อันตรายที่เกิดขึ้นเมื่อเวลาลงจากรถหรือขึ้นรถเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน และหากว่าเป็นผู้หญิงด้วยแล้วยิ่งต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เราทุกคนคงเคยมีความรู้สึกกลัว หรือรู้สึกไม่ปลอดภัยเวลาจะขึ้นรถหรือลงจากรถคนเดียว จากการศึกษาพบว่าอันตรายที่เกิดขึ้นจากที่จอดรถในห้างสรรพสินค้า หรือที่บริษัทที่ทำงานมีอัตราเพิ่มขึ้น โดยคนร้ายมักเลือกเหยื่อที่ผมยาว เพราะง่ายต่อการกระชากและทำร้าย และกำลังใช้โทรศัพท์มือถืออยู่ ผู้เขียนมีโอกาสอ่านเรื่องการจอดรถอย่างปลอดภัย ของมหาวิทยาลัย Toronto แคนาดามีข้อแนะนำที่น่าสนใจดังนี้


1.ไม่ควรทิ้งของมีค่า หรืออุปกรณ์ไฟฟ้า ของล่อใจต่างๆ ไว้บนรถ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ไอแพด ไอโฟน หรือเครื่องเสียงที่มีราคาแพง ของใช้มีค่าส่วนตัว เช่น กระเป๋าถือ กระเป๋าออกกำลังกาย หรือแม้กระทั่งเศษสตางค์ไว้ในที่ที่มองเห็นได้ในรถ ควรเก็บไว้ในที่มิดชิด และมองไม่เห็น และไม่ควรมีชื่อหรือที่อยู่ติดไว้ ที่สำคัญไม่ควรทิ้งบัตรเครดิตหรือสมุดบัญชีธนาคารไว้ในรถด้วย
       
       2.เอากุญแจออกจากรถ และ ล็อกรถทุกครั้ง
       
       3.เลือกสถานที่จอดรถที่ปลอดภัย จอดรถในที่ใกล้กับทางลง หรือใกล้กับที่ที่จะไป ใกล้ผู้คน ใกล้บันได หรือลิฟต์ หลีกเลี่ยงการจอดรถในชั้นที่ว่างหรือไม่ค่อยมีคนอื่นใช้
       
       4. หากไปจอดในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยและรู้สึกกังวลใจในความปลอดภัย ให้ขับรถสำรวจดูก่อนจนแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วจึงจอด หากรู้สึกไม่ชอบมาพากล ให้ไว้ใจสัญชาตญาณของตัวเอง ไปหาที่จอดที่อื่นหรือตัดสินใจขับออกไป หรือใช้วิธีขับไปรอบๆ จนพบเพื่อนรวมทางคนอื่น จึงตัดสินใจจอดใกล้กับรถคันอื่นและเดินร่วมทางด้วยไปที่ประตูทางออก
       
       5.ทุกครั้งที่จอดรถใช้วิธีขับถอยหลังเข้าที่จอดรถ เพื่อหน้ารถจะหันหน้าออก เทคนิคนี้ทำให้เราอยู่ในสายตาของผู้คนที่ผ่านไปมา และทำให้เราสามารถขับรถออกไปได้เร็วขึ้นและง่ายขึ้นเมื่อพบคนแปลกหน้า
       
       6.ให้มองไปรอบๆ อย่างถ้วนถี่ก่อนลงจากรถ และเมื่อลงจากรถแล้วให้เดินอย่างรวดเร็วและมั่นใจไปที่ประตูทางออกหรือลิฟต์ อย่าทำเรื่องโน้นเรื่องนี้ เช่นรับโทรศัพท์ หาของในกระเป๋าในขณะเดินไปประตูทางออก
       
       7.หากรู้สึกว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาให้เปลี่ยนกิจวัตรประจำวันที่ทำ เช่นจอดรถในที่ใหม่ จอดในเวลาที่แตกต่างจากเดิม หลีกเลี่ยงการปฏิบัติตัวเป็นตารางเหมือนเดิมทุกวัน


       
       8.หากต้องขับรถและจอดรถคนเดียว อาจใช้บริการขับรถทางเดียวกัน ไปด้วยกันบ้าง (Car Pool)
       
       9.หากรู้สึกไม่ปลอดภัยขณะเดินกลับไปที่รถ ขอให้คนที่ไว้ใจและรู้จักเดินไปเป็นเพื่อน
       
       10.เมื่อเดินไปที่รถ หากสังเกตเห็นว่ามีรถคันอื่นถูกงัดแงะ หรือกระจกแตกให้โทรศัพท์เรียกตำรวจทันที อย่าเดินต่อไปที่รถของตัวเอง แจ้งสถานที่ให้ชัดเจนและยืนรอตำรวจในที่ที่ปลอดภัย
       
       11.มีกุญแจรถอยู่ในมือก่อนไปถึงที่รถ อย่าคลำหากุญแจในกระเป๋าถือ หรือกระเป๋าเอกสารใดๆ ในที่ที่ปลอดคน ตรวจดูเบาะหลังรถอย่างถ้วนถี่ก่อนขึ้นรถ เมื่อขึ้นรถแล้วให้ล็อครถทันที และเก็บสิ่งของมีค่าต่างๆ ให้พ้นจากการล่อสายตา
       
       12.ถ้าพบเจอในสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล ให้รีบขับรถออกไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด
       
       13.เข้าคอร์สอบรม และเรียนรู้เรื่องการป้องกันตัวเองเมื่อถูกทำร้าย เช่น การใช้นิ้วจิ้มที่บริเวณดวงตา หยิกหรือกัดบริเวณท้องแขน หรือเตะบริเวณต่อมลูกหมาก หรือใช้วิธีกระชากนิ้วของผู้ทำร้าย 2 นิ้วแล้วหักกลับในทิศทางตรงกันข้ามให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เป็นต้น ส่วนการตะโกนขอความช่วยเหลือก็ช่วยได้เช่นกัน เพราะพบว่าผู้ที่ทำร้ายหลายรายจะหลบหนีเมื่อพบว่าเหยื่อร้องตะโกน และไม่กลัวต่อการทำร้ายมากกว่าเหยื่อที่กลัวจนไม่กล้าทำอะไร นอกจากนั้นควรถือร่ม หรือมีสเปรย์พริกไทยพ่นในกรณีฉุกเฉิน



5 วิธีเอาตัวรอด หากถูกจี้จับอยู่บนรถ

ไม่ว่าคุณจะขึ้นแท็กซี่ รถตู้ หรือรถส่วนตัว คนร้ายที่วางแผนมาอย่างดี มักจะฉวยโอกาสรอให้คุณขึ้นรถแล้วออกไปโดยที่คุณไม่สามารถทำอะไรได้ เรามีทางเอาตัวรอดไว้ให้คุณแล้ว 

1.หาทางออกด้วยตนเอง 
        ไม่ว่าจะขึ้นรถคันไหนควรหาทางออกเอาไว้สำหรับตัวเอง ศึกษาที่ล็อกประตูว่าเปิดอย่างไร หรือการเปิดหน้าต่างให้ดี เพื่อหาทางหนีที่ไล่ด้วยตัวเอง 
2.ตะโกนให้โจรตกใจ 
        เมื่อรถเริ่มชะลอตัวและบรรยากาศมีแต่ความตึงเครียดให้คุณตะโกนเลยว่า ตำรวจ หรือระวัง ให้โจรที่ขับรถอยู่ตกใจจอดรถหรือชะลอรถให้ช้ากว่าเดิม จากนั้นให้คุณรีบเปิดประตูรถหลบหนีลงมา พร้อมตะโกนขอความช่วยเหลือเพื่อไม่ให้โจรตามลงมา 
3.เปิดประตูเรียกคนช่วย 
        ไม่ว่ารถจอดอยู่หรือกำลังแล่นด้วยความเร็ว ทำใจให้กล้าเปิดประตูออก ให้เป็นที่ผิดสังเตบนถนน หรือเปิดกระจกโหวกเหวกโวยวายให้คนบนท้องถนนรับร็ว่าคุณกำลังตกอยู่ในอันตราย 
4.ขว้างของลงบนถนน          วิธีนี้ก็สามารถเรียกความสนใจจากพลเมืองดีบนถนนได้อย่างดี เพราะเมื่อคุณปาสิ่งของที่ผิดสังเกตที่อยู่บนรถลงมา เช่นกระเป๋าสะพายของคุณเอง(เอาของมีค่าออกก่อนด้วย) ขวดน้ำ หนังสือพิมพ์ ยิ่งทำให้น่าสงสัย ตำรวจบริเวณนั้นต้องเรียกรถคันดังกล่าวจอด 
5.โบกมือเรียกรถคันหลังให้จอด 
        หากคุณเปิดหน้าต่างไม่ได้ ให้โบกไม้โบกมือที่กระจกหลังทำท่าทางขอความช่วยเหลือกับรถคันหลัง อย่างเช่น ชี้ไปทางคนขับแล้วยกมือขึ้นมาบีบคอตัวเอง หรือกวักมือเรียกพร้อมตะโกนขอความช่วยเหลือดังๆ
         อันตรายมีอยู่รอบด้าน ดังนั้น หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น ให้ตั้งสติให้มั่น ใช้ปัญญา ป้องกันตัวเองโดยใช้กลยุทธ์ต่างๆ ที่กล่าวไปอย่างเหมาะสมและมีความรอบคอบ ขอให้ทุกครอบครัวปลอดภัยคลาดแคล้วจากเหตุร้ายต่างๆ เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ





ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 16 พฤษภาคม 2555 11:22 น.

หม่ำมื้อกลางวันที่โต๊ะ... อาจไม่โตในหน้าที่การงาน


เชื่อว่ามีหลายคน โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศผู้มุ่งมั่นไฟแรงที่อาจบอกกับตัวเองง่าย ๆ ว่า "ขี้เกียจ" กับการออกไปรับประทานอาหารกลางวันนอกบริษัท และเลือกหนทางที่ง่ายกว่าด้วยการซื้อข้าวกล่อง หรืออาหารง่ายๆประเภทอิ่มสะดวก (โดยซื้อเตรียมไว้ตั้งแต่เช้า) มารับประทานที่โต๊ะทำงานแทน
       การนั่งติดอยู่กับโต๊ะตั้งแต่เริ่มงานจนพักเที่ยงก็ไม่ได้ลุกไปไหนและอาจลากยาวไปถึงบ่ายอาจทำให้คุณดูเหมือนหนุ่มสาวไฟแรง มีความขยัน อดทน สู้งานหนัก มีความมุ่งมั่นกับงานที่ได้รับมอบหมายในสายตาเจ้านาย แต่ข้อเสียของมันต่อร่างกายก็มีมากมายไม่แพ้กัน เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ลักษณะการทำงานของพนักงานออฟฟิศในปัจจุบันนั้นเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอื่น ๆ ได้อีกมากมายกับตัวพนักงานเอง แถมยังมีความจริงที่ว่า การที่ร่างกาย ไม่ได้เคลื่อนไหวนั้นยังอาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายอย่างเฉียบพลันได้อีกด้วย โดยเฉพาะกับอวัยวะสำคัญ เช่น หลอดเลือด ที่ทำหน้าที่ส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย
       จากการสำรวจกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ไฟแรงอายุระหว่าง 21 - 30 ปี และกลุ่มนักเล่นเกมอายุระหว่าง 16 - 21 ปีจำนวน 1,000 คน โดย ComRes พบว่า 73 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มพนักงานออฟฟิศยอมรับว่า ตนเองรับประทานอาหารกลางวันที่โต๊ะทำงาน ส่วนกลุ่มนักเล่นเกมนั้นพบว่า 9 ใน 10 คนยอมรับว่าตนเองนั่งเล่นเกมโดยไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถนานเกิน 90 นาที ซึ่งทาง ComRes ระบุว่า หากร่างกายไม่มีการเคลื่อนไหวนานเกิน 90 นาที อัตราการไหลเวียนของเลือดบริเวณใต้หัวเข่าลงไปจะลดลงถึง 50 เปอร์เซ็นต์
       
       ด้านนักวิจัยจากสถาบันวิจัยทางการแพทย์ของนิวซีแลนด์ก็ยังได้ทำการสำรวจในประเด็นใกล้เคียงกัน โดยสำรวจกลุ่มคนทำงาน 400 คนที่มักมีพฤติกรรมรับประทานอาหารที่โต๊ะทำงาน โดยพบว่า ในกลุ่มคนเหล่านี้ มีความเสี่ยงที่เลือดจะจับตัวเป็นลิ่มสูงกว่าคนทั่วไปถึง 2.2 เท่า
       
       หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เพาะความอ่อนแอให้ตัวเองขนาดนี้ ต่อให้ตำแหน่งแห่งหนในการทำงานพร้อมจะให้โอกาสคุณโต แต่ตัวคุณเองจะรับบทนั้นได้หรือไม่ ยากจะตอบได้
       
       อ้างอิงข้อมูลจากเดลิเมล



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 18 พฤษภาคม 2555 07:50 น.

ภัยอาหาร เมนูล่าสุด หูหมู...ปลอม ในเจียงซี

                                          ดูกันชัดๆ ชำแหละหูหมูปลอมที่มีแต่เยื่อยางยุ่ยๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่กวาดจับได้ในตลาดที่มณฑลเจียงซี (ภาพเอเยนซี)




เอเอฟพี - ตำรวจจีนเร่งสืบสวน หลังพบหูหมูปลอมที่ทำจากเจลาติน ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องหนัง วางจำหน่ายในตลาด นับเป็นอีกหนึ่งปัญหาล่าสุดที่เกี่ยวกับความปลอดภัยทางอาหารของจีน
       เอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 17 พ.ค. ว่า พบหูหมูปลอมวางจำหน่ายในตลาดเมืองกันโจว มณฑลเจียงซี ซึ่งเริ่มเป็นข่าวมาตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม ซึ่งไชน่าเดลีเคยรายงานไปก่อนแล้ว โดยเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับความปลอดภัยด้านอาหาร นำหูหมูปลอมเหล่านี้ไปตรวจสอบพบว่า “หูหมูปลอม” เหล่านี้ ทำจากเจลาติน ผสมกับสารโซเดียมโอลิเอตที่ใช้ผลิตสบู่ ซึ่งสารนี้มีผลต่อความดันเลือดและการทำงานของหัวใจ
        ตลอดเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้ย้ำหนักหนาว่าจะต้องพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยทางด้านอาหาร และเพิ่มการตรวจเฝ้าระวังคุณภาพฯ ตลอดเวลา แต่เหตุการณ์เหล่านี้ยังคงเกิดขึ้นเนื่องจากความไร้สำนึกความ
       รับผิดชอบของผู้ผลิตและจำหน่าย รวมทั้งความหละหลวมในการบังคับใช้ แม้จะกำหนดบทลงโทษรุนแรงไว้ถึงขั้นประหารชีวิต
       ไชน่าเดลี อ้างคำกล่าวของนายฝาน จี้หง ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยอาหาร เกี่ยวกับการแยกแยะระหว่าง
       หูปลอม กับหูจริงว่าให้สังเกตว่ามีเส้นขน และเส้นเลือดฝอยเล็กหรือไม่ เพราะของปลอมจะไม่สามารถทำได้ และมักจะจำหน่ายราคาถูกกว่าปกติ นอกจากนั้นยังมีกลิ่นผิดปกติเวลาโดนความร้อน ขณะที่บางรายอาจจะมีการใส่กลิ่นรสหมูปรุงแต่งลงไป
       

                                                      หูหมูปลอม ใบใหญ่ๆ แต่ไม่มีเส้นเลือดฝอย กับขนหูหมู (ภาพเอเยนซี) 


       ผู้เชี่ยวชาญฯ ยังกล่าวว่า การรับประทานโซเดียมโอลิเอตซึ่งผสมอยู่ในหูหมูปลอมจำนวนมาก มีผลกับความดันโลหิตสูงผิดปกติ และระบบการทำงานของหัวใจ ขณะที่ เจลาติน ซึ่งนิยมใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเครื่องหนัง เป็นสารต้องห้ามสำหรับผลิตอาหาร เพราะมีโครเมียมซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
       
       ทั้งนี้ หูหมู เป็นส่วนผสมหลักในอาหารทั่วๆ ไปของจีน เพราะความกรอบกรุบของกระดูกอ่อน โดยมีเมนูประจำครัวมากมาย รายงานข่าวกล่าวว่า นอกจากหูหมูปลอมแล้ว ยังพบว่าเจ้าหน้าที่ได้สืบสวนจับกุม
       ผู้จำหน่ายผักในมณฑลซันตง ซึ่งจำหน่ายผักแช่สารฟอร์มัลดีไฮด์ เพื่อรักษาความสดกรอบของผัก แต่มีพิษก่อมะเร็ง ก่อนหน้านี้ เมื่อปีที่แล้ว ก็ยังมีการจับกุมผู้จำหน่ายกว่า 30 ราย ที่ขายน้ำมันปรุงอาหารซึ่งสกัดจากขยะน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วและถูกทิ้งลงในท่อระบายน้ำ...




ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 17 พฤษภาคม 2555 12:41 น.


วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ภาวะไอ จาม ปัสสาวะเล็ด


ผศ.นพ.พิชัย ลีระศิริ 
       ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา 
       
       มีสตรีจำนวนมากที่ได้รับความเดือดร้อนจากอาการไอ จาม และมีปัสสาวะเล็ด หลายคนไม่กล้าที่จะพูดถึงเพราะอาย จะหายจากอาการอย่างนี้ได้อย่างไร เรามีความรู้มาฝากครับ

                                          
เครื่องช่วยฝึกขมิบช่องคลอด




ภาวะไอ จาม และปัสสาวะเล็ด โดยไม่ตั้งใจ และไม่สามารถควบคุมได้นั้น เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในสตรีทั่วไป และมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต สาเหตุมาจากกล้ามเนื้อหูรูดท่อปัสสาวะเสื่อมประสิทธิภาพ ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะนี้ ได้แก่ อายุ ในสตรีที่อายุมากขึ้นจะพบอุบัติการณ์ของภาวะนี้ได้มากขึ้น
       
       การตั้งครรภ์ ในขณะตั้งครรภ์จะพบภาวะปัสสาวะเล็ดได้ในบางราย แต่เป็นการเกิดชั่วคราว
       และอาจจะหายได้หลังจากคลอดบุตรแล้ว
       
       การคลอดบุตร มักพบในรายที่ทารกคลอดผ่านช่องคลอด และสัมพันธ์กับระยะเวลาคลอด โดยเฉพาะถ้าทารกที่มีน้ำหนักแรกคลอดมาก จำนวนบุตรที่มากขึ้น จะเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นตามลำดับ
       ภาวะที่เพิ่มความดันในช่องท้อง ได้แก่ ความอ้วน ไอ จาม หอบเรื้อรัง ท้องผูก ยกของหนักเป็นประจำ
                                             การผ่าตัดแก้ไขปัสสาวะเล็ดผ่านทางหน้าท้อง (Burch Colposuspension)


ในเบื้องต้นแพทย์จะวินิจฉัย โดยการซักประวัติและตรวจร่างกาย หรือตรวจภายในหรือส่งตรวจพิเศษเพื่อยืนยันว่ามีภาวะนี้จริงแล้วจึงทำการรักษา ซึ่งการรักษามีตั้งแต่
       
       1.การปรับพฤติกรรม เช่น การลดน้ำหนักรักษาอาการไอ จามเรื้อรัง แก้ไขภาวะท้องผูก
       
       2.โดยการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ด้วยการขมิบช่องคลอด ซึ่งสามารถทำได้ในทุกอริยาบถ โดยการขมิบที่ถูกต้องต้องขมิบเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานเท่านั้น คล้ายกับเวลากลั้นอุจจาระ หรือปัสสาวะ โดยไม่เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องหรือต้นขาร่วมด้วย ขมิบแต่ละครั้งทำค้างไว้ 10-20 วินาที แล้วคลายออกในเวลาเท่ากัน แล้วจึงเริ่มขมิบใหม่ สามารถทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ โดยระยะแรกอาจทำเพียงน้อยครั้งแล้ว จึงเพิ่มขึ้นทั้งระยะเวลาและความถี่เมื่อชำนาญมากขึ้น อย่างไรก็ตามหากท่านไม่แน่ใจว่าจะขมิบได้ถูกต้องหรือไม่ สามารถปรึกษาแพทย์ได้
       
       3.การใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้หดรัดตัว ใช้สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถเกร็งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานด้วยตนเองได้หรือทำได้ไม่ถูกวิธี วิธีนี้จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเฉพาะ

                                                   การผ่าตัดแก้ไขปัสสาวะเล็ดผ่านทางช่องคลอดโดยใช้เทป

ซึ่งการรักษาทั้ง 3 วิธี เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง อาการจะดีขึ้นภายใน 3-6 เดือน แต่ถ้ารักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ต้องใช้ การผ่าตัด เข้าช่วย ซึ่งมีอยู่ 2 วิธีด้วยกัน
       
       1.การผ่าตัดผ่านทางหน้าท้อง โดยการเย็บซ่อมแซมและตึงเนื้อเยื่อรอบท่อปัสสาวะเข้าเอ็นที่ยึดบริเวณใกล้เคียงให้มีความแข็งแรงขึ้น
       
       2.โดยใช้วัสดุเทปสังเคราะห์ผ่านทางช่องคลอด แล้ววางที่ใต้ต่อท่อปัสสาวะเพื่อเสริมความแข็งแรง วิธีนี้ได้รับความนิยมในปัจจุบันเมื่อเทียบกับการผ่าตัดทางหน้าท้อง เนื่องจากทำได้รวดเร็ว สะดวก ฟื้นตัวเร็ว และยังไม่มีแผลหน้าท้อง
       
       แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีใด อย่ากลัวอย่าอาย หมอช่วยได้ครับ 

                                             พบกิจกรรมดีๆ ที่ศิริราช
       
       เรียนรู้อยู่กับมะเร็งต่อมลูกหมาก
       
       สาขาวิชาศัลยศาสตร์ยูโรวิทยา ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมฟังการบรรยายเรื่อง “เรียนรู้อยู่กับมะเร็งต่อมลูกหมากอย่างมีชีวิตชีวา” ณ ห้องประชุม 7009 ตึกสยามินทร์ ชั้น 7 รพ.ศิริราช โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สำรองที่นั่งได้ที่ โทร.0 2419 8010...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 16 พฤษภาคม 2555 00:49 น.