This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

นอนกรน....ภัยยามค่ำคืน อันตรายถึงชีวิต




การนอนกรน อาจไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อีกต่อไป เพราะปัญหาเรื่องการนอนกรนนอกจากจะสร้างความรำคาญต่อคนนอนข้างๆ แล้ว ยังส่งผลโดยตรงต่อระบบหายใจและอาจทำให้คุณเกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ จนกระทั่งส่งผลเสียให้กับอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้อย่างเรื้อรัง 
       
       รศ.นพ.ประกอบเกียรติ หิรัญวิวัฒน์กุล จากภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าสาเหตุของโรคนอนกรนเกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน คือ อายุมากขึ้น เนื้อเยื่อต่างๆ จะขาดความตึงตัว ลิ้นไก่ยาว และเพดานอ่อนห้อย ต่ำลง กล้ามเนื้อต่างๆ หย่อนยาน รวมทั้งกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ขยายช่องทางเดินหายใจ บริเวณลำคอ ทำให้ลิ้นไก่และลิ้นตกไปบังทางเดินหายใจได้ง่าย
       
       ลักษณะโครงสร้างของกะโหลกศีรษะและกระดูกใบหน้าผิดปกติ เช่น คางเล็ก คางเลื่อนไปด้านหลัง ลักษณะคอยาว หน้าแบน ล้วนทำให้ทางเดินหายใจช่วงบนแคบลงเกิดการอุดตัน และทำให้เกิดการหยุดหายใจได้ ซึ่งโรคที่มีความผิดปกติบริเวณนี้ ได้แก่ Down's syndrome, Prader Willi syndrome ,Crouzon's syndrome เป็นต้น
       
       กรรมพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ไม่อ้วน แต่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ปัจจัยทางพันธุกรรมน่าจะเป็นสาเหตุหลักของผู้ป่วยกลุ่มนี้ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการ เกิดโรคมากกว่าคนปกติ 1.5 เท่า
       
       อ้วน พบว่าประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ป่วย OSA มีน้ำหนักมากกว่าร้อยละ 20 ของน้ำหนักมาตรฐาน เมื่อลดน้ำหนักได้ 5-10 กิโลกรัมจะทำให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้นได้ ผู้ป่วยที่อ้วนมีโอกาสเกิดการหยุดหายใจขณะหลับมากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากไขมัน ซึ่งนอกจากจะกระจายอยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย เช่น ที่สะโพก หน้า ท้อง น่อง ต้นขาแล้ว ยังพบว่ามีเนื้อเยื่อไขมันกระจายอยู่รอบๆทางเดินหายใจช่วงบนมากขึ้น ไขมันที่พอกบริเวณคอจะทำให้เวลาที่ผู้ป่วยนอนลง จะเกิดน้ำหนักกดทับ ทำให้ช่องคอแคบลงได้ หน้าท้องที่มีไขมันเกาะอยู่มากทำให้กระบังลมทำงานได้ไม่เต็มที่ ความจุของปอดลดลง ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดการหยุดหายใจได้โดยง่ายขึ้น
       
       แน่นจมูก จมูกเป็นต้นทางของทางเดินหายใจ ถ้ามีภาวะใดก็ตามที่ทำให้แน่นจมูก เช่น มีผนังกั้นจมูกคด เยื่อบุจมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ หรือเนื้องอกในจมูก ย่อมจะทำให้การหายใจลำบากขึ้น
       การดื่มสุรา หรือการใช้ยาบางชนิด จะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง รวมทั้งกล้ามเนื้อที่คอยพยุงช่องทางเดินหายใจให้เปิด หมดแรง เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดตันได้ง่ายขึ้น
       
       การสูบบุหรี่ ทำให้ประสิทธิภาพของระบบทางเดินหายใจแย่ลง ทำให้คอหอยอักเสบจากการ ระคายเคือง มีการหนาบวมของเนื้อเยื่อ ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง เกิดการอุดตันได้ง่าย และยัง ส่งผลเสียต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ
       
       โรคต่อมไร้ท่อต่างๆ ได้แก่ Hypothyroidism, Acromegaly พบว่าทำให้เกิดทางเดินหายใจอุด ตันได้มากกว่าคนทั่วไป
       
       นอกจากนี้ปัญหาเรื่องนอนกรน ไม่เพียงเกิดกับผู้ใหญ่เท่านั้น เพราะในเด็กก็พบปัญหานอนกรนได้เช่นเดียวกัน ซึ่ง “อาการนอนกรนในเด็ก” มักมีสาเหตุมาจาก ต่อมทอนซิล มีขนาดโตมาก เพราะมีการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรังของบริเวณช่องคอ ต่อมอะดินอยด์ มีขนาดโตมาก เพราะมีการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรังของบริเวณช่องจมูก รวมทั้งโพรงไซนัส ภาวะคัดจมูกเรื้อรัง เช่น โรคภูมิแพ้ เพราะเป็นเหตุให้แน่นจมูก หายใจไม่สะดวก ต้องอ้าปากช่วย ยิ่งทำให้นอนกรนได้มากขึ้น ไซนัสอักเสบ โดยเฉพาะไซนัสอักเสบเรื้อรัง จะมีน้ำมูกข้น และจมูกบวม ทำให้หายใจทางจมูกไม่สะดวก จึงนอนกรนได้ ในบางรายมีความผิดปกติแต่กำเนิด ทำให้กระดูกใบหน้าเล็ก หรือมีเนื้อเยื่อในทางเดินหายใจใหญ่ เช่น มีลิ้นโต เป็นสาเหตุให้มีภาวะอุดตันของทางเดินหายใจในขณะนอนหลับได้
       
       “การนอนกรน แบ่งได้ 2 ชนิด คือ การนอนกรนชนิดไม่อันตราย(Simple snoring) และการนอนกรนชนิดอันตราย (Obstructive sleep apnea หรือ OSA) ซึ่งคนที่นอนกรนชนิดไม่อันตราย มักจะมีอาการนอนกรนเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เสียงกรนอาจดังหรือค่อยขึ้นอยู่กับว่าเกิดจากบริเวณใด ถ้าเกิดเพราะมีเพดานอ่อนหย่อนหรือลิ้นไก่ยาวมักทำให้กรนเสียงดังมากโดยเฉพาะเวลานอนหงาย แต่ถ้ากรนจากการตึงแคบบริเวณโคนลิ้น เสียงมักเบาเหมือนหายใจแรงๆ ดังนั้น ความดังของเสียงกรนจึงไมได้ บอกว่าอันตรายหรือไม่ แต่ถ้ามีอาการหายใจสะดุด หยุดหายใจเหมือนคนหายใจไม่ออก หรือสำลัก อันนี้ถือว่าเป็นสัญญาณอันตรายซึ่งมักพบในอาการนอนกรนชนิดอันตราย
       
       ซึ่งอาการของโรคนอนกรนชนิดอันตราย นอกจากจะนอนกรนเสียงดัง มีอาการคล้ายสำลักหรือสะดุ้งตื่นกลางดึก ต้องลุกไปถ่ายปัสสาวะตอนกลางดึกแล้ว สมองจะรู้สึกตื้อ คิดอะไรไม่ออกเพราะง่วงนอน ขี้ลืม ไม่ค่อยมีสมาธิในการทำงาน ตื่นขึ้นมาด้วยอาการอ่อนล้า ไม่สดชื่น หรือปวดศีรษะ และต้องการนอนต่ออีกทั้งที่ไม่ได้นอนดึก บางคนอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย อาทิ จุกแน่นคอเหมือนมีอะไรติดคอ หูอื้อ หงุดหงิดง่าย ขี้โมโห รวมทั้งมีความรู้สึกทางเพศลดลง
       
       คนที่เป็นโรคนอนกรนชนิดอันตราย เมื่อยังหลับไม่สนิทอาจจะเป็นเพียงกรนปกติ แต่เมื่อหลับสนิทจะเกิดการอุดตันของทางเดินหายใจ มีลักษณะของการกลั้นหายใจ ตามด้วยการสะดุ้งหรือสำลักน้ำลาย หรือหายใจอย่างแรงเหมือนขาดอากาศ อาจเกิดขึ้นหลายสิบหรือหลายร้อยครั้งต่อคืน
       
       ซึ่งในขณะที่มีการหยุดหายใจ ออกซิเจนในเลือดแดงจะลดต่ำลงเรื่อยๆ ทำให้เกิดความผิดปกติในการทำงานของอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะหัวใจ หลอดเลือด ปอด และสมอง ต่อมาเมื่อออกซิเจนในเลือดแดงลดต่ำลงมากจนถึงจุดอันตราย ร่วมกับมีการหายใจที่แรงมาก จนต้องใช้กล้ามเนื้อช่วยในการหายใจเพื่อพยายามให้ลมหายใจสามารถผ่านตำแหน่งที่ตีบตันไปให้ได้ ภาวะนี้จะกระตุ้นให้สมองที่กำลังหลับสนิทอยู่ต้องตื่นขึ้นมา ทางเดินหายใจจะถูกเปิดขึ้น และทำให้ออกซิเจนสามารถผ่านเข้าไปในปอดได้อีก ตอนนี้เองออกซิเจนในเลือดแดงจะกลับมาสูงขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่นาน สมองจะเริ่มหลับอีก การหายใจก็จะเริ่มขัดข้องอีกครั้ง วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ไปตลอดคืน ทุกคืน ส่งผลให้สมรรถภาพการนอนหลับเสียไป เนื่องจากมีช่วงเวลาของการนอนหลับสนิทน้อยเกินไป ผลเสียต่ออวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะหัวใจ ระบบไหลเวียนเลือด สมอง และปอด จนทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม
       
       การรักษาโรคการนอนกรน ในปัจจุบันมีหลายวิธีด้วยกัน คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อาทิ ลดความอ้วน เพราะจากการสำรวจพบว่า เมื่อน้ำหนักลดลง 10% อัตราการหยุดหายใจก็จะลดลงด้วย ช่วยให้การหายใจดีขึ้น การแลกเปลี่ยนออกซิเจนสะดวกขึ้น ซึ่งการลดความอ้วนนั้น ไม่ควรรับประทานยาลดความอ้วน เพราะจะมีผลมากมาย เช่น ทำให้ใจสั่น และเมื่อหยุดยาก็จะกลับมาอ้วนใหม่ แต่ควรปรับเรื่องพฤติกรรมการกินและออกกำลังกายอย่างเป็นกิจวัติ จะส่งผลดีที่สุด
       
       หลีกเลี่ยงการนอนหงาย โดยให้นอนท่าตะแคง เพราะจะช่วยให้หลับดีขึ้น เนื่องจากการนอนหงายจะทำให้ลิ้นตกไปด้านหลังชิดกับผนังช่องคอด้านหลัง ทำให้เกิดการอุดตันได้มาก ส่วนการนอนตะแคงจะทำให้ลิ้นไม่ตกไปที่คอด้านหลังมากเกินไป และสามารถช่วยลดอาการกรนได้บ้าง
       
       งดการดื่มสุรา เพราะการดื่มสุราจะยิ่งทำให้มีอาการกรนและหยุดหายใจมากยิ่งขึ้น เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้เกิดการการยุบตัวของทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้นและกดสมอง ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อออกซิเจนในเลือดช้ากว่าเดิม นอกจากนี้ยังต้อง งดสูบบุหรี่ หรือทำงานหนัก รวมทั้งงดยาบางประเภท เช่น ยากล่อมประสาท ยานอนหลับ เพราะยากลุ่มนี้มีผลต่อการหายใจขณะหลับ
       
       ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคกรนชนิดอันตรายไม่รุนแรง มักนิยมใช้ อุปกรณ์ทางทันตกรรม ซึ่งมีลักษณะเป็นที่ครอบฟันบนและล่าง ทำหน้าที่ยึดขากรรไกรอันล่างให้เลื่อนไปด้านหน้า อุปกรณ์ชนิดนี้จะช่วยให้การหายใจดีขึ้น และมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด
       
       การใช้เครื่องช่วยหายใจ (CPAP) จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการนอนกรนชนิดรุนแรงมาก เครื่องชนิดนี้จะปล่อยแรงดันบวกและทำให้ช่องทางเดินหายใจกว้างขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยหลับสบาย ซึ่งปัจจุบันการรักษาด้วยเครื่อง CPAP นับว่าได้ผลดี แต่ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถใช้เครื่อง CPAP ได้ แพทย์อาจแนะนำให้แก้ไขความผิดปกติด้วยการผ่าตัด
       
       การรักษาโดยการผ่าตัด จะช่วยแก้ไขปัญหาทางเดินหายใจที่อุดตันขณะหลับ ซึ่งก่อนนอนหลับ ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจการนอนหลับ เพื่อยืนยันว่าเป็นอันตรายมากน้อยแค่ไหน ซึ่งการผ่าตัดก็จะแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความผิดปกติของผู้ป่วย เช่น การผ่าตัดบริเวณเพดานอ่อน การผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์ออก การผ่าตัดเพดานอ่อนโดยเลเซอร์ การผ่าตัดฝังพิลลาร์ การใช้คลื่นวิทยุ การผ่าตัดโพรงจมูก การผ่าตัดเลื่อนคางเพื่อดึงกล้ามเนื้อลิ้นมาด้านหน้า การผ่าตัดเลื่อนขากรรไกรบนและล่างมาด้านหน้า เป็นต้น
       
       นอกจากนี้ยังมีการตรวจด้วยกล้องส่องตรวจในขณะนอนหลับ จะช่วยระบุตำแหน่งที่ผิดปกติ เพื่อให้การผ่าตัดแก้ไขมีประสิทธิภาพและยังช่วยลดการผ่าตัดที่ไม่จำเป็นได้อีกด้วย
       
       ปัญหาการนอนกรน หากรู้จักแก้ไขปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดภาวะทางเดินหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยก็จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องการหายใจที่ติดขัดขณะนอนหลับ ส่วนคนรอบข้างก็จะลดความน่ารำคาญของเสียงกรนไปได
       
       สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องการนอนกรน สามารถเข้ามารับคำปรึกษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก คลินิกนอนกรน โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้ในงาน Thailand Health & Wellness 2012 เติมพลังสดใส พลังความคิด พลังปัญญา เพื่อความผาสุกของชีวิต งานเดียวที่รวบรวมทุกเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพคุ้มและครบประโยชน์ทั้งครอบครัว ได้ในระหว่างวันที่ 26 - 29 กรกฎาคม 2555 ณ อาคาร 5 - 6 อิมแพ็ค เมืองทองธานี สอบถามข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 02 627 9038 หรือ www.thailandhealthandwellness.com



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน




วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

หญิงมะกันปล่อย ก้อนมะเร็ง ลุกลามหนัก 23 กก. รอใช้สิทธิ์ประกันสุขภาพ

ดร.เดวิด ดูปรี ขณะทำการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งหนัก 23 กิโลกรัมออกจากช่องท้องของหญิงวัย 65 ผู้หนึ่ง
 รอยเตอร์ - คณะแพทย์ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ประสบความสำเร็จในการผ่าตัดก้อนเนื้อมะเร็งน้ำหนัก 51 ปอนด์ (23 กิโลกรัม) ออกจากร่างของสตรีผู้หนึ่งซึ่งขอเลื่อนการผ่าตัดมานานกว่า 1 เดือน เพื่อจะได้สิทธิ์ประกันสุขภาพผู้สูงอายุ แพทย์เผยวานนี้ (3)
       
       “เธอเป็นผู้หญิงร่างผอมบาง แต่ท้องมีขนาดโตมาก ดูเหมือนคนท้องลูกแฝดสาม” ดร.เดวิด ดูปรี หัวหน้าคณะแพทย์ผู้ผ่าตัดให้กับ เอเวอลีน วัย 65 ปี ที่ศูนย์พยาบาลริเวอร์วิว เมืองเรดแบงก์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ ระบุ
       
       ก่อนจะมาโรงพยาบาลประมาณ 6-8 สัปดาห์ เอเวอลีนรู้สึกเจ็บภายในช่องท้อง และน้ำหนักตัวปกติ 54.5 กิโลกรัมก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
       
       ดูปรีเปิดเผยว่า คนไข้รายนี้มาพบแพทย์เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน หลังอายุครบ 65 ปีได้เพียง 4 วัน ซึ่งทำให้เธอมีสิทธิ์ใช้ประกันสุขภาพผู้สูงอายุ
       
       “ที่เธอไม่ยอมมาพบแพทย์ก่อนหน้านี้เพราะยังไม่มีประกัน” แพทย์ระบุ
       


       น้ำหนักของเอเวอลีนพุ่งพรวดถึง 77 กิโลกรัม ขาบวมเพราะเส้นเลือดขอด และร่างกายสูญเสียน้ำไปมาก จากการสแกนพบก้อนมะเร็งขนาดใหญ่กดทับเส้นเลือด inferior vena cava ที่นำเลือดกลับสู่หัวใจ ซึ่งอยู่ในขั้นเสี่ยงต่อการเสียชีวิต
       
       สุขภาพของเอเวอลีนอ่อนแอเกินกว่าจะผ่าตัดได้ทันที ดูปรีจึงนัดผ่าตัดในวันที่ 11 มิถุนายน เพื่อให้เธอปรับสมดุลน้ำในร่างกาย และควบคุมความดันโลหิตให้ปกติเสียก่อน
       
       อย่างไรก็ตาม เอเวอลีนเกิดอาการหายใจไม่ออกในเย็นวันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน คณะแพทย์จึงตัดสินใจทำการผ่าตัดทันที
       
       หลังผ่าช่องท้องออกดู ดูปรีและทีมแพทย์พบก้อนเนื้อมะเร็งซึ่งเกิดจากเนื้อเยื่อไขมันรอบๆลำไส้แผ่คลุมอวัยวะภายในหลายจุด จนแพทย์ต้องใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมงค่อยๆ ตัดเนื้อร้ายออก “ทีละมิลลิเมตร”
       
       เอเวอลีนยังคงรักษาตัวอยู่ที่ศูนย์พักฟื้น และปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ
       
       แม้จะตัดเนื้อร้ายออกแล้ว แต่คุณป้ารายนี้ยังต้องอยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกต่อไปอีก เนื่องจากการผ่าตัดอาจไม่ได้กำจัดเซลล์มะเร็งออกไปทั้งหมด และอาจต้องเข้ารับการฉายรังสีหรือเคมีบำบัดร่วมด้วย...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ :



วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สธ.ญี่ปุ่นสั่งแบน ตับวัวดิบ หลังพบคนกินเสียชีวิต 5 ราย

ตับวัวดิบ หนึ่งในเมนูอาหารชั้นเลิศของญี่ปุ่น

เอเอฟพี - กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นสั่งห้ามภัตตาคารจำหน่ายเมนูตับวัวดิบอย่างไม่มีกำหนด หลังพบผู้บริโภคเสียชีวิต 5 ราย และเจ็บหนักอีก 24 ราย จากการรับประทานตับวัวดิบในเครือร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว
       
       ตับวัวดิบหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ เสิร์ฟพร้อมหัวหอมและซอส จะถูกตัดออกจากเมนูร้านอาหารทุกร้านตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป กระทรวงสาธารณสุขเผย
       
       “ถ้าคุณนำตับไปปรุงสุก เนื้อมันจะหยาบ แต่ถ้ากินดิบๆ จะกินง่ายมาก” โยชิโกะ มิกิ วัย 38 ปี ซึ่งรีบเดินทางไปลิ้มลองตับวัวดิบที่ภัตตาคารคินตันในกรุงโตเกียว ก่อนที่กฎหมายแบนตับวัวจะมีผลบังคับ เผย
       
       “ตับวัวของที่นี่รสชาติดีเป็นพิเศษ ดังนั้นเมื่อคิดว่าจะไม่ได้กินมันอีกแล้ว ก็เศร้าเหมือนกันนะ”
       
       จิฮารุ ไซโตะ จากสมาคมนักวิเคราะห์อาหารแห่งญี่ปุ่น กล่าวว่า เนื้อสัตว์ดิบหลายชนิดมีวางขายทั่วไปตามท้องตลาด แต่ตับวัวดูจะได้รับความนิยมมากที่สุด


       
       “หากเรามองว่าเนื้อสัตว์ประเภทใดอาจทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้มากที่สุด ดิฉันเชื่อว่า นั่นคงเป็นเหตุผลที่รัฐบาลเลือกแบนตับวัว”
       
       “ตับวัวถือว่าเป็นเมนูเด่นของร้านอาหารจำนวนมาก และเมื่อจู่ๆรัฐบาลสั่งห้ามขาย ก็ต้องกระทบต่อยอดขายและผลกำไรอย่างแน่นอน”
       
       ยูอิจิ คามาตะ ผู้จัดการบริษัท เอดจ์ ซึ่งเป็นเจ้าของเครือภัตตาคารคินตัน ระบุว่า ลูกค้าร้อยละ 90 มาที่คินตันเพื่อรับประทานตับวัวดิบ ซึ่งราคาจานละประมาณ 1,800 เยน (ราว 710 บาท) แต่ถึงรัฐบาลจะมีคำสั่งห้ามจำหน่ายแล้ว ก็ยังสรุปไม่ได้ว่ากิจการของคินตันจะย่ำแย่ลงหรือไม่ เพราะภัตตาคารก็กำลังคิดค้นเมนูใหม่ๆเพื่อสนองความต้องการของลูกค้า รวมถึงเมนูที่ใช้ตับวัวปรุงแบบสุกๆ ดิบๆ ด้วย...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 
www.bloggang.com





วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วงจรปิดส่องเสียว... ล้วงลับ ล่วงละเมิด


มวลอากาศเย็นยะเยือกใต้แสงสลัวเนินไหล่แนบชิด บรรยากาศในรงภาพยนต์ช่างเป็นใจเสียขนาดนี้คงไม่แปลกหากนิยมใช้เป็นสถานที่พลอดรักกันมาแต่ไหนแต่ไร และก็คงมีไม่น้อยที่เผลอปล่อยหัวใจไปตามอารมณ์เสียจนลืมแคร์สายตาในเงามืด 
       
       โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นการแสดงออกถึงความรักความใคร่ในยุคนี้ช่างร้อนแรงยากที่จะควบคุม ยิ่งในเรื่องเซ็กซ์กลับกลายเป็นเรื่องปกติของวัยคะนอง อย่างกรณีภาพเคลื่อนไหวความยาวร่วมสิบนาทีของคู่รักวัยรุ่นที่กำลังมีเพศสัมพันธ์ในโรงหนังธนา ซีนีเพล็กซ์ จ.ราชบุรี หรืออย่างกรณีเปิดม่านรูดสวิงกิ้งของนักเรียนหนุ่มสาว จ.เพชรบุรี ฯลฯ 
       
       ล้วนกลายเป็นกระแสวิพากษ์ที่สังคมกำลังจับตามอง สำหรับเรื่องแรกที่ถูกจับจ้องเป็นพิเศษคือฉากรักที่สะท้อนชัดเจนว่าวัยรุ่นเข้าถึงเซ็กซ์เร็วขึ้น ขณะเดียวกันโรงหนังรวมทั้งพื้นที่สาธารณะก็กลายเป็นสถานที่ปลดเปลื้องอารมณ์ของเยาวชนจำนวนไม่น้อย แน่นอนภาพที่ปรากฎออกมานั้นกำลังบอกท่านผู้ชมทั้งหลายว่า 'เราจับตาดูคุณอยู่'
       
       กล้องวงจรปิดอินฟาเรด ที่ติดตั้งภายในโรงภาพยนตร์อาจเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างที่เอื้อประโยชน์แก่ทุกฝ่าย แม้ตามหลักการภาพเหล่านี้ถือเป็นความลับของทางบริษัท แต่ใครจะรู้ว่าวันใดวันหนึ่งจะมีมือดีเอาภาพกิริยาลับๆ ของคุณมาเผยแพร่
ในโรงหนังมีเพียง 3 คน
       
       แพร่ภาพโดยผู้ใหญ่ไร้วุฒิภาวะ
       “ตามกฎแล้ว ถ้าพนักงานดูกล้องที่คอยสอดส่องพฤติกรรมบุคคลในโรงภาพยนตร์หรือป้องกันการแอบถ่าย ถ้าเห็นพฤติกรรมลักษณะนี้ projector สามารถวอเรียกพนักงานฝ่ายโรงภาพยนตร์ เข้าไปจัดการได้ทันที แต่ในกรณีนี้ นั่งดูกันเป็นเรื่องสนุกสนาน ดูจากลักษณะแล้วพนักงานฝ่ายโรงภาพยนตร์กับพนักงานที่ดูกล้องน่าจะอยู่ด้วยกันเลยนั่งดูกันสนุกสนาน แถมยังผิดฐานเอาข้อมูลบริษัทมาเผยแพร่อีก ไร้ยางอายทั้งพนักงานที่เห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน ไร้ยางอายทั้งเด็กที่ไม่รู้จักกาลเทศะ 
       
        “ส่วนใครที่คิดจะทำอะไรไม่ดีไม่ร้ายในโรงหนังพึงระวังไว้นะ เพราะมีกล้องอินฟาเรด ซูมได้รอบโรงหนัง เห็นทุกการกระทำ ปล. สามีเป็นผู้ช่วย ผจก. บริษัทโรงหนังแห่งหนึ่งค่ะ” ข้อความจาก Login : BEST (BESTZIL) ในเว็บบอร์ดชื่อดัง
       
       ในเรื่องนี้ก็ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวปิดในโรงภาพยนตร์ชั้นนำของประเทศเช่นกันว่า จริงๆ แล้วตามโรงภาพยนตร์นั้นจะติดตั้งกล้องวงจรปิดเอาไว้
       
       ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นความลับห้ามให้ลูกค้าทราบเพราะอาจก่อเกิดความรู้สึกไม่เป็นส่วนตัว ส่วนวัตถุประสงค์ที่ต้องติดตั้งก็เพื่อป้องกันการแอบถ่ายละเมิดลิขสิทธิ์ แต่พนักงานผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจะไม่สามารถเข้าถึงห้องควบคุมกล้องวงจรปิดได้เลย
       
       จะว่าไปในยุคสมัยนี้เรื่องการแอบถ่ายบางทีก็ถูกนำเผยแพร่ด้วยวัตถุประสงค์ทางการค้า อีกอย่างหนึ่งก็มีทั้งกรณีเจ้าตัวสมยอมและไม่ทราบว่าตนถูกละเมิดสิทธิ แต่ถ้าวิเคราะห์กันตามภาพที่ปรากฎดูจะเป็นความคึกคะนองของเด็ก อีกส่วนหนึ่งที่ควรนำตัวมาดำเนินคดีคงเป็นกลุ่มพนักงานชายของโรงภาพยนต์ที่ตกเป็นข่าว เพราะดูเหมือนว่าจะชมภาพ บันทึกเหตุฉาว พร้อมๆกับนำมาเผยแพร่อย่างไร้จิตสำนึก ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความสนุกหรือเพื่อนำคลิปภาพมาค้าขายเอากำไร แต่ที่แน่ๆงานนี้เสื่อมเสียกันตั้งแต่เด็กยันผู้ใหญ่
       
ภาพมอนิเตอร์ที่ทำการบันทึกจากกล้องวงจรปิดของโรงภาพยนตร์

       กระจกสะท้อนกลับไปที่ครอบครัว
       ถ้าลองพิจารณากันดีๆ แล้ว เรื่องการมีเพศสัมพันธ์ในที่สาธารณะนั้นมีมานานแล้ว เพียงแต่ว่ายุคสมัยนี้มีเทคโนโลยีอย่างกล้องวงจรปิดเข้ามามากขึ้น จึงกลายเป็นเครื่องมือบันทึกภาพลับเอาไว้ได้ อรพิน สถิรมน อาจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าว
       
        “ในที่สาธารณะจริงๆ มันเป็นทุกยุคทุกสมัย ตามสวนสาธารณะก็จะพบพฤติกรรมแบบนี้อยู่บ้าง เพียงแต่ว่าในยุคนี้อาจจะเจอมากขึ้น อาจจะเห็นเยอะขึ้นมันก็คงค่อยๆ ขึ้นมา ในภาพยนตร์ ละคร หรือสื่อต่างๆ ก็มีความเกี่ยวเนื่องกับเพศมากขึ้น อย่างในวัฒนธรรมเดิมแค่เดินจับมือกันก็ไม่ได้ น่าเกลียด แต่ยุคนี้การจับมือ เดินหอมแก้มในที่สาธารณะก็กลายเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคลไปเสียแล้ว”
       
       จะว่าเทคโนโลยีก็มีส่วนให้คลิปภาพร่วมเพศของเยาวชนให้เห็นกันเรื่อยๆ อีกนัยหนึ่งเด็กในสังคมไทยก็นิยมมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงถ้าย้อนดูสมัยโบราณหนุ่มสาวอายุ 16 -17 ปี ก็แต่งงานกันแล้ว แต่ในสมัยนี้คนคาดหวังให้เด็กใช้ชีวิตในวัยเด็กและวัยรุ่นให้ยาวนานขึ้น ดูได้จากการกำหนดระยะเวลาในการศึกษา
       
       “โดยธรรมชาติความต้องการทางเพศเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นมันก็มีแล้ว เพียงแต่ว่าเดิมรูปแบบของสังคมเราช่วยควบคุมได้เพราะว่ามันมีเกณฑ์ อย่างเช่นเป็นผู้หญิงห้ามผู้ชายมาถูกเนื้อต้องตัว เพราะว่าการที่ไม่ถูกเนื้อต้องตัวมันก็เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะอารมณ์ขึ้นมาได้
       
        “แต่ถ้าครอบครัวอบอุ่น เด็กได้ความรักเต็มที่ก็คงไม่ต้องแสวงหาความรักจากภายนอก ถึงแม้ว่าเรื่องความต้องการทางเพศจะเป็นไปตามธรรมชาติเป็นไปตามวัย แต่ถ้าเด็กถูกสอนมีการเรียนรู้ค่านิยมที่ถูกจากพ่อแม่มันก็จะทำตามวัฒนธรรม”
กลุ่มพนักงานของโรงภาพยนตร์ที่มีส่วนรู้เห็นต่อการแอบถ่ายคลิป
       
       การติดตั้งกล้องวงจรปิดในพื้นที่สาธารณะก็ควรแจ้งข้อมูลต่อสาธารณะชนด้วย เพราะมันเป็นนัยหนึ่งที่ช่วยให้คนเคารพกฎเกณฑ์ทางสังคม
       
       โทษทั้งจำทั้งปรับ..กลัวหรือเปล่า?
       คงคลายข้อสงสัยเรื่องการติดตั้งกล้องวงจรปิดในโรงภาพยนตร์ไปเปราะหนึ่ง แต่ในเรื่องการละเมิดสิทธิส่วนตัวบุคคลนั้น ธรรมรักษ์ ศรีธรรม ทนายความ ได้แสดงทัศนะการติดตั้งกล้องฯ บริเวณสถานที่สาธารณะบางทีก็กลายเป็นดาบสองคม แต่สิ่งสำคัญนั้นอยู่ที่เจตนารมณ์ในการติดตั้งมากกว่า
       
       “การตั้งกล้องวงจรปิดนั้นต้องพิจารณาถึงเจตนา ถ้าติดตั้งด้วยเจตนาที่ดี อย่างในมินิมาร์ทก็ติด เพื่อป้องกันการขโมย สถานที่สาธารณะใครๆ ก็เข้าไปใช้บริการก็ได้ ในเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ในโรงหนังมันควรจะบอกว่ามีการติดตั้งกล้อง ทีนี้ใครเข้าไปก็มีการยอมรับ แต่มันก็เป็นสองคมนะ ถ้าคนที่ไม่ประสงค์ดีหวังเข้าไปละเมิดสิทธิก็รู้ล่วงหน้า แต่คนที่บริสุทธิ์ไมได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมายก็ไม่เป็นไร”
       
ภาพการบุกจับกุมวัยรุ่นสวิงกิ้ง

       อย่างไรก็ตาม กรณีคลิปฉาวของเด็กนักเรียนโรงหนังที่นำมาปล่อยสู่สาธารณะนั้น ธรรมรักษ์ อธิบายว่าถ้ามองในแง่กฎหมายผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะมีความผิดกันอย่างถ้วนทั่ว
       
       เริ่มตั้งแต่พ่อแม่ผู้ปกครองที่ปล่อยปะปละเลยลูกหลาน หรือถ้าอยู่ในเวลาเรียนทางครูบาอาจารย์ก็ถือว่ามีความผิดที่ไม่สามารถควบคุมดูแลพวกเขาได้
       
       พนักงานประจำโรงภาพยนตร์ที่ดูจะผิดเต็มๆ ในฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และนำมาเผยแพร่ต่อผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ มีโทษทั้งปรับและจำคุก ซึ่งตรงนี้ก็ต้องดูกันไปถึงทางผู้บริหารโรงภาพยนตร์ด้วยถ้าไม่มีการป้องกันก็ถือว่ามีส่วนผิดด้วย
       
       สำหรับเยาวชนที่ร่วมเพศกันในที่สาธารณะก็มีความผิดข้อหากระทำอนาจาร ต้องโทษปรับเช่นกัน
       
       ส่วนในเรื่องจริยธรรมก็คงไม่ต้องพูดถึงเพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าผิดกันเต็มๆ อยู่แล้ว สุดท้ายไม่แน่ใจเท่าใดนักว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจะดำเนินการต่อเรื่องนี้อย่างไร...
       

       ….............................
       การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรของวัยรุ่นนั้นเป็นเรื่องยากที่จะห้ามปราม อีกอย่างหนึ่งคนในวัยนี้ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุเป็นช่วงวัยที่อยากรู้อยากลอง กลับกันถ้าเปลี่ยนเป็นการทำความเข้าใจและปลูกผังในเรื่องทัศนคติเรื่องการมีเพศสัมพันธ์อาจเป็นหนทางที่เหมาะสมมากกว่า...

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 26 มิถุนายน 2555 19:48 น.




วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ผิวหนังอักเสบจากแมลงก้นกระดก




อ.พญ.เพ็ญวดี พัฒนปรีชากุล
       ภาควิชาตจวิทยา
       
       **** ไถ่ถามกันเข้ามาถึงแมลงก้นกระดก ว่า ถ้าพบจะทำอย่างไรดี มีคำตอบให้ค่ะ ****
   แมลงก้นกระดก (Paederus fuscipes) หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในชื่อ “แมลงน้ำกรด” เป็นแมลงขนาดเล็กประมาณ 7-8 มม.ส่วนหัวมีสีดำ ปีกน้ำเงินเข้มขนาดเล็ก และส่วนท้องมีสีส้ม แมลงชนิดนี้มักจะงอส่วนท้ายเมื่อเกาะอยู่กับพื้น จึงมักเรียกว่า “แมลงก้นกระดก” จัดอยู่ใน Genus Paederus, Family Staphylinidae, Order Coleoptera พบกระจายทั่วโลกมากกว่า 600 สปีชีส์ โดยเฉพาะในเขตร้อนชื้น มักอาศัยบริเวณพงหญ้าที่มีความชื้น ชอบออกมาเล่นไฟและแสงสว่างตามบ้านเรือน โดยเฉพาะจะมีมากในช่วงปลายฤดูฝน
       
       แมลงชนิดนี้จะปล่อยสาร Pederin ออกมาทำลายเนื้อเยื่อผิวหนังของผู้ที่สัมผัสโดน โดยความรุนแรงจะขึ้นกับความเข้มข้นของสาร Pederin ที่สัมผัสโดน ซึ่งอาการจะยังไม่เกิดทันทีที่สัมผัส แต่จะเริ่มเกิดผื่นและอาการแสบ เมื่อผ่านไปประมาณ 24 ชั่วโมง หลังการสัมผัส ต่อมาจะเกิดเป็นผื่นแดงขอบเขตชัดเจน หรือรอยไหม้ลักษณะเป็นทางยาว อันเกิดจากการปัดด้วยมือ บางรายจะเกิดผื่นที่บริเวณซอกรอยพับที่ประกบกัน ร่วมกับตุ่มน้ำพองและตุ่มหนองใน 2-3 วัน ต่อมาผื่นหรือแผลจะตกสะเก็ดและหายเองภายใน 7-10 วัน เมื่อหายแล้วอาจทิ้งรอยดำไว้สักระยะหนึ่ง แต่มักไม่เกิดแผลเป็น นอกจากมีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติมที่บริเวณผื่นเดิม ทำให้ผื่นหายช้าลงและอาจลุกลามจนมีโอกาสเกิดแผลเป็นหลังจากผื่นหายแล้วได้ สำหรับในรายที่ผื่นเป็นบริเวณกว้าง อาจมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดข้อ หรืออาการคลื่นไส้อาเจียนได้ หากเข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้ ในบางรายที่มีผื่นที่ใบหน้าและลำคอ อาจเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นงูสวัดได้ ซึ่งแตกต่างกันที่ผื่นจากแมลงก้นกระดกจะไม่มีอาการปวดร้าวตามแนวเส้นประสาทบริเวณตำแหน่งที่เกิดผื่น
       
       เมื่อสัมผัสถูกตัว “แมลงก้นกระดก” แล้ว ให้รีบล้างด้วยน้ำเปล่าหรือน้ำสบู่ และประคบเย็นในบริเวณที่สัมผัสโดนแมลง สังเกตอาการและการเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนัง ถ้าเกิดเพียงรอยแดงเล็กน้อย สามารถหายเองได้ใน 2-3 วัน ไม่จำเป็นต้องทายาใด แต่ถ้าอาการผื่นเป็นมากขึ้น ให้ทาครีมสเตียรอยด์ หรือหากมีตุ่มน้ำพองเป็นบริเวณกว้างหรือแผลไหม้ ควรทำการประคบด้วยน้ำเกลือครั้งละ 5-10 นาที วันละ 3-4 ครั้ง จนแผลแห้ง ร่วมกับยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติมและยาแอนติฮิสตามีนเพื่อบรรเทาอาการคัน
       
       สำหรับคำแนะนำในการป้องกัน “แมลงก้นกระดก” คือ ไม่ควรจับตัวแมลงมาเล่น หลีกเลี่ยงการปัดหรือบีบตัวแมลงที่มาเกาะตามตัว ควรใช้วิธีเป่าแมลงให้หลุดออกไปเองโดยไม่ต้องจับโดนตัว ก่อนนอนควรปัดที่นอน หมอน มุ้ง ผ้าห่ม ก่อนเพื่อป้องกัน รวมทั้งควรปิดประตูตู้เสื้อผ้า ประตูและหน้าต่างห้องนอนให้มิดชิดทั้งกลางวันและกลางคืน ในช่วงกลางคืนควรเปิดไฟเฉพาะเท่าที่จำเป็น โดยเฉพาะควรปิดไฟห้องนอน เพราะ “แมลงก้นกระดก” มักชอบออกมาเล่นแสงไฟตามบ้านเรือน
       
       -----------------------------------------------------------
       
       พบกับกิจกรรมดีๆ ที่ศิริราช
       
       • เชิญชวนประชาชนร่วมงานสัปดาห์เภสัชกรรม ครั้งที่ 13 พบ กิจกรรมหลากหลาย อาทิ สาธิตการทำอาหารเพื่อสุขภาพ การบรรยายใช้ยาอย่างไรให้ปลอดภัยและถูกวิธี ฯลฯ ระหว่างวันที่ 25-29 มิ.ย.2555 เวลา 09.00-16.00 น.ณ โถงอาคาร 100 ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ รพ.ศิริราช
       
       • คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข ขอเชิญ
       แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ เข้าร่วมประชุมวิชาการนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 150 ปี พระราชสมภพสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี ภายใต้แนวคิด “จากพระราชดำริ สู่สุขภาวะสังคมไทย ด้วยการดูแลเชิงสหสาขาวิชา” ระหว่างวันที่ 17-21 ก.ย.2555 ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม/สมัครผ่าน www.sirirajconference.com และสอบถามได้ที่ โทร.0 2419 7680-1, 08 5111 0728


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 20 มิถุนายน 2555 01:55 น.

วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เจาะสัก-มั่วเซ็กซ์ ระวัง..ไวรัสตับอักเสบซี



มีผู้คนมากกว่า 350,000 คน เสียชีวิตอันเนื่องมาจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี 
       4 ล้านคนของผู้ติดเชื้อ HCV อยู่ในทวีปยุโรป 
       และอีก 4 ล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา
       1 ใน 12 ของประชากรทั่วโลกติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือซี แบบเรื้อรัง 
       ประเทศไทยพบประมาณร้อยละ 1-5 
       ร้อยละ 5-9 ของผู้ติดเชื้อ HCV 
       อยู่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 
       ที่น่ากลัวมากกว่านั้นก็คือ...
       มีการตรวจพบผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในประเทศไทย...เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 
       Taste ไม่ได้มาขู่หนุ่มสาวที่หลงผิดว่าชีวิตมีไว้ใช้ตักตวงความสุขโดยไม่ต้องดูแล
       แค่ต้องการให้คุณแคร์ชีวิตกันบ้างก็เท่านั้น

รองศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระ พิรัชวิสุทธิ์ รองศาสตราจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ และรองคณบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ และผู้อำนวยการสถาบันโรคระบบทางเดินอาหารและตับ เผยว่าปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี คือ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ติดยาเสพติด รวมถึงติดเชื้อเพราะรับโลหิตที่บริจาคหรือผลิตภัณฑ์เลือดที่ไม่ได้รับการตรวจคัดกรองก่อน, การเจาะหรือการสักซึ่งกำลังเป็นเทรนด์แฟชั่นของกลุ่มคนรุ่นใหม่ด้วย


       แม้ไวรัสตับอักเสบจะไม่ได้ติดต่อกันอย่างง่ายดายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ แต่พฤติกรรมทางเพศบางอย่าง อาทิ การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคนหรือการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว 
       สำหรับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีส่วนมาก มักไม่ได้มีอาการใดๆ ก็ตาม แต่ในบางคน หลังจากติดเชื้อจะแสดงอาการเล็กน้อยไปจนถึงรุนแรงให้เห็นอย่างรวดเร็ว ได้แก่ มีไข้ (มักเป็นเพียงไข้ต่ำๆ) เมื่อยล้า อ่อนเพลีย, เบื่ออาหาร ปวดท้อง,ปัสสาวะมีสีเข้ม ในบางกรณีอาจมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง, คลื่นไส้และอาเจียน, ปวดตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ, สมาธิสั้น, วิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า, อาการปวดข้อ
       ในผู้ป่วยประมาณร้อยละ 80 เชื้อไวรัสตับอักเสบซีได้พัฒนากลายเป็นแบบเรื้อรัง ซึ่งปกติจะไม่ค่อยแสดงอาการอะไรออกมาให้เห็น อย่างไรก็ตาม ประมาณร้อยละ 20-30 ของผู้ที่ติดเชื้อ HCV จะพัฒนาไปสู่ตับแข็ง และกลายเป็นมะเร็งตับหลังจากมีอาการตับแข็ง ในที่สุด


       ถึงปัจจุบันจะยังไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันไวรัสตับอักเสบซี แต่การดูแลปฎิบัติตนอย่างถูกต้องก็สามารถลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีได้

สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบแบบเฉียบพลันอย่างรุนแรง อาจต้องเข้ารักษาด้วยยาที่ให้ผลการรักษาได้ดี โดยสามารถกำจัดไวรัสให้หมดไปและไม่กลับเป็นซ้ำอีกหลังหยุดยา คือ การให้ยา 2 ตัวร่วมกัน ประกอบด้วยยาฉีด Pegylated Interferon โดยฉีดสัปดาห์ละครั้ง และยารับประทาน โดยการให้การรักษาเป็นระยะเวลา 24 สัปดาห์ สำหรับไวรัสตับอักเสบซีสายพันธุ์ที่ 2 และ 3 มีโอกาสหายขาดสูงถึงกว่าร้อยละ 80 ในขณะที่สายพันธุ์ที่ 1 และอื่นๆ อาจใช้เวลาประมาณ 48 สัปดาห์ 


       ก่อนคิดจะสัก...ก่อนตัดสินใจจะมั่ว...กลัว “ไวรัสตับอักเสบซี” บ้างก็ดีนะ

FACT!
       <<<โรคตับอักเสบ เป็นภาวะที่เซลล์ตับเกิดการอักเสบ
       <<< เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี
       <<<เป็นไวรัสสองชนิดที่สามารถทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง
       <<<และสามารถพัฒนาจนเกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว 
       <<<ร้อยละ 80 ของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีแบบเฉียบพลัน 
       <<<มีโอกาสพัฒนากลายเป็นแบบเรื้อรังได้
       <<<ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี (HCV) แบบเรื้อรังประมาณ 170 ล้านคนทั่วโลก
       <<<ไวรัสตับอักเสบซี แบ่งออกเป็น 6 สายพันธุ์หลัก 
       <<<สายพันธุ์ที่ 1 เป็นสายพันธุ์ที่ยากต่อการรักษาให้หายขาดมากที่สุด และพบบ่อยที่สุด 

  ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
  www.manager.co.th  :   12 มิถุนายน 2555 13:29 น.
  ภาพ : อินเทอร์เน็ต


วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กาแฟมื้อเที่ยง เพิ่มเสี่ยงเบาหวาน




หากคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าการถือถ้วยกาแฟเย็น ชาเย็น น้ำผลไม้ปั่น (เติมน้ำเชื่อม) หรือน้ำอัดลมในช่วงพักเที่ยงทำให้คุณดูเป็นสาวทำงานผู้มาดมั่นทันสมัยแล้วล่ะก็ วันนี้เรามีอีกหนึ่งความจริงจะมาบอก นั่นก็คือ แก้วเครื่องดื่มในมือนั้นไม่มีประโยชน์ใด ๆ ต่อร่างกาย แถมจะมีโทษเสียอีกด้วย เพราะมันคือตัวการที่ทำให้คุณเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานในอนาคตได้นั่นเอง ตรงกันข้ามกับน้ำเปล่าที่นอกจากจะไม่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานให้กับคุณแล้ว มันยังไม่มีแคลอรี่ ไม่กลายเป็นส่วนเกินให้กับร่างกายของคุณอีกด้วย
       
       ข้อมูลนี้เป็นงานวิจัยส่งตรงจากสหรัฐอเมริกา ประเทศที่มีอัตราการเกิดโรคเบาหวานสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก และยังเป็นประเทศที่ผู้หญิงราว 10 เปอร์เซ็นต์ หรือ 12.6 ล้านคนป่วยด้วยโรคเบาหวาน ซึ่งจากการสำรวจวิถีชีวิตของสาว ๆ 82,902 คนในสหรัฐอเมริกานำโดย ดร. Frank Hu พบว่า ในช่วงเวลา 12 ปีที่ผ่านมานี้ มีถึง 2,700 คนจากจำนวน 82,902 คนกลายเป็นผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวานไปแล้ว
       
       โดยพฤติกรรมของสาว ๆ เหล่านี้หนีไม่พ้นการดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวาน เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้ เป็นประจำ ซึ่งนักวิจัยยังเผยด้วยว่า หากสาว ๆ เหล่านี้เปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มมาเป็นการดื่มน้ำเปล่า ความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานจะลดลง 7 - 8 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
       
       การศึกษาของ ดร. Hu เผยด้วยว่า เครื่องดื่มประเภทชา หรือกาแฟที่ไม่ใส่น้ำตาล หรือสารปรุงแต่งรสหวานนั้นก็อาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพได้เช่นกัน แต่สำหรับตัวเลือกที่ดีที่สุดนั้น หนีไม่พ้น "น้ำเปล่า" ที่ไม่มีแคลอรี่ใด ๆ เลยนั่นเอง แต่ถ้าหากน้ำเปล่ามันธรรมดาเกินไป คุณอาจเติมมะนาวฝานเพิ่มความเปรี้ยวนิด ๆ ให้กับตัวเองด้วยก็ได้
       
       งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการเผยแพร่ใน the American Journal of Clinical Nutrition


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 6 มิถุนายน 2555 11:55 น.