This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ไขปมกระเบื้องหลังคาก่อมะเร็ง ค้นคำตอบจากต้นกำเนิดแดนรัสเซีย

เหมืองแร่ไครโซไทล์ที่เมืองยาสนี ประเทศรัสเซีย
                                          


เมื่อไม่นานมานี้ มีประเด็นร้อนที่ถูกจุดขึ้น เมื่อกลุ่มสมัชชาสุขภาพ และหน่วยงานพันธมิตร ร่วมกันผลักดันให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เสนอให้รัฐบาลสั่งห้ามการนำเข้าแร่ใยหินทุกชนิด โดยอ้างว่า อาจเป็นสารก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอด ซึ่งขณะนี้ เรื่องได้บรรจุอยู่ในวาระการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีแล้ว
       
       ประเด็นดังกล่าว กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวของผู้บริโภคทุกคน เนื่องจากหนึ่งในแร่ใยหิน คือ แร่ไครโซไทล์ (Chrysotile) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิต “กระเบื้องมุงหลังคา” ดังนั้น หากสารดังกล่าวเป็นอันตรายจริง หมายถึง ภัยมะเร็งกำลังครอบอยู่บนหัวเราทุกคนนี่เอง 
       
       อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ ยังไม่ได้บทสรุปอย่างเป็นทางการ ในมุมผู้สนับสนุนที่อยากให้คงใช้แร่ไครโซไทล์ต่อไป ทั้งผู้ผลิตแร่ชนิดนี้ และผู้ผลิตสินค้าที่ใช้แร่ไครโซไทล์เป็นส่วนผสม ต่างออกมายืนยันหนักแน่น ว่า แร่ดังกล่าวไม่ได้เป็นอันตรายดั่งถูกกล่าวหา
       
       เมื่อมีทั้งกลุ่มค้าน และสนับสนุน วิธีหาความจริงที่ดีประการหนึ่ง คือ เสาะหาข้อมูลเชิงประจักษ์จากต้นกำเนิดที่เหมืองแร่ของบริษัท Orenburg minerals ในเมืองยาสนี (YASNY) ประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตแร่ใยหินไครโซไทล์สำคัญที่สุดของโลก 



Mr.ANDREY GOLM
                                                    



@@@ แจงไม่พบข้อมูลแพทย์ชี้ชัดภัยอันตราย @@@
       
       Mr.ANDREY GOLM ผู้บริหารสูงสุดของโรงงาน Orenburg minerals ให้ข้อมูล ว่า บริษัทก่อตั้งมากว่า 50 ปี ผลิตแร่ไครโซไทล์ กว่า 5 แสนตันต่อปี คิดเป็นร้อยละ 25 ของตลาดโลก ส่งขายทั้งในรัสเซีย และส่งออกกว่า 30 ประเทศทั่วโลก เช่น อินเดีย จีน อินโดนีเซีย เวียดนาม และ ไทย เป็นต้น
       
       ที่ผ่านมา ไม่เคยมีข้อมูลทางการแพทย์ใดๆจากทั่วโลก ชี้ชัดอย่างเป็นทางการ ว่า แร่ไครโซไทล์เป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็ง นอกจากที่สถาบันวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติ (the International Agency for Research on Cancer) ภายใต้ World Health Organization (WHO) จะกำหนดว่า เป็นหนึ่งในสารก่อมะเร็ง หากได้รับในปริมาณมาก หรือระยะเวลานานติดต่อกันเกินไป ซึ่งเหมือนกับสารอื่นๆ จำนวนมากที่มนุษย์สัมผัสในชีวิตประจำวัน เช่น เบนซิน แอลกอฮอล์ บุหรี่ ปลาเค็ม ยาคุมกำเนิด ฯลฯ อย่างไรก็ตาม WHO ไม่ได้สั่งห้ามใช้ แต่เห็นควรให้มีการใช้แร่ไครโซไทล์อย่างปลอดภัย 

                                         แร่ไครโซไทล์ที่สกัดออกมาแล้ว

นอกจากนั้น แร่ไครโซไทล์ จะไม่ตกค้างในปอดหากหายใจเข้าไป เพราะจะถูกกรดในร่างกายย่อยสลายในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนำแร่ไครโซไทล์ ไปเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เป็นเรื่องยากมากๆ ที่สารจะหลุดออกมาจากผลิตภัณฑ์ โอกาสที่จะทำให้เกิดโรคมะเร็งปอดจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย 




@@@@ ฟันธง กลุ่มค้านหวังผลเชิงธุรกิจ @@@@
       
       Mr.ANDREY เผยด้วยว่า แรงจูงใจของกลุ่มค้านที่ต้องการให้เกิดการห้ามส่งออกและนำเข้าแร่ไครโซไทล์ เพราะต้องการผลประโยชน์เชิงธุรกิจ เนื่องจากแร่ชนิดนี้มีคุณสมบัติเส้นใยที่ดีที่สุด ไม่มีสารใดๆ ในโลกทดแทนได้ โดยจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงแก่วัตถุที่นำไปผสม ป้องกันความร้อน และราคาถูก อีกทั้ง ปัจจุบันในโลกนี้ มีแหล่งทรัพยากรแร่ชนิดนี้แค่ 4 แห่ง ได้แก่ แคนาดา 1 แห่ง บราซิล 1 แห่ง และรัสเซีย 2 แห่ง (เหมืองในเมืองยาสนี สามารถขุดมาใช้ได้อีกประมาณ 150 ปี โดยปัจจุบันทางรัสเซียกำลังสำรวจเหมืองใหม่อีก 11 แห่ง)ดังนั้น เมื่อไม่สามารถผลิตสินค้าที่ดีกว่ามาแข่งขันได้ แนวทางที่จะกำจัดคู่แข่ง จำเป็นต้องให้เกิดการห้ามใช้สินค้าชนิดนั้น 

บรรจุและลำเลียงส่งออกต่างประเทศ
                                                    


 สำหรับผู้อยู่เบื้องหลังความพยายามให้เกิดการห้ามใช้แร่ไครโซไทล์ คือ เอ็นจีโอที่มีนายทุนชาติยุโรปหนุนหลัง ซึ่งจะได้รับผลประโยชน์ จากการขายเส้นใยเทียม และเส้นใยสังเคราะห์ เพื่อมาใช้ทดแทนแร่ไครโซไทล์ ซึ่งมีราคาสูงกว่า 3-5 เท่าตัว รวมถึงการขายผลิตภัณฑ์ และเครื่องจักรต่อเนื่องเพื่อมาทดแทน ซึ่งมูลค่าการตลาดมหาศาล โดยประเทศไทยเป็นเพียงสมรภูมิเล็กๆ ในการเคลื่อนไหวเท่านั้น ที่ผ่านมา กลุ่มนี้ได้พยายามคัดค้านในหลายๆ ประเทศ และจะเคลื่อนไหวไปยังประเทศอื่นๆ ที่ใช้แร่ไครโซไทล์ต่อไป
       
       อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทได้พยายามหาแนวทางชี้แจงข้อเท็จจริง ผ่านกลไกตั้งคณะกรรมการ 3 ฝ่าย ได้แก่ บริษัท รัฐบาลรัสเซีย และ รัฐบาลไทย ที่ประกอบด้วยกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อศึกษาข้อเท็จจริงเรื่องอันตรายจากแร่ไครโซไทล์

ขั้นตอนการสกัดแร่ไครโซไทล์ออกจากหิน
                                          

ภายในโรงงานของบริษัท Orenburg minerals
                                         


 @@@@ ยาสนีเมืองคู่เหมืองแร่ไครโซไทล์ @@@@
       
       ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่สำรวจจริง เมืองยาสนีเป็นเมืองเล็กๆ มีประชากรประมาณเพียง 16,000 คน อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ของประเทศรัสเซีย เขตแดนติดประเทศคาซัคสถาน ชาวเมืองใช้ชีวิตเงียบสงบ และผูกพันกับเหมืองแร่ไครโซไทล์ของบริษัท Orenburg minerals ชนิดแยกกันไม่ออก โดยที่ตั้งของเหมืองอยู่ห่างจากศูนย์กลางชุมชนเพียงไม่กี่กิโลเมตร ชาวเมืองส่วนใหญ่มีรายได้ทั้งทางตรง และทางอ้อม จากการทำเหมืองแร่ อีกทั้ง สิ่งปลูกสร้างที่ใช้กระเบื้องมุงหลังคาทั้งหมดของเมืองนี้ ล้วนใช้ผสมของแร่ไครโซไทล์ 
       
       แม้ว่า จะอยู่ใกล้ชิดกับเหมืองแร่ดังกล่าว ทว่า นับแต่ก่อตั้งเมืองแห่งนี้เมื่อ ค.ศ.1961 ยังไม่เกิดปัญหาประชากรเป็นโรคมะเร็งปอดสาเหตุจากแร่ชนิดนี้เลย แนวโน้มค่าเฉลี่ยของประชากรยังเพิ่มขึ้นทุกปี

บรรยากาศบริเวณศูนย์กลางเมืองยาสนี
                                         


นอกจากนั้น จากการพูดคุยกับชาวเมืองยาสนีหลายๆ คน ท่วงทำนองจะออกมาคล้ายกัน ว่า ไม่รู้สึกกังวลปัญหาสุขภาพ เนื่องจากครอบครัวตั้งแต่บรรพบุรุษล้วนอาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ และไม่เคยมีปัญหามะเร็งปอด รวมถึง ยืนยันที่จะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเล็กๆ อันเงียบสงบแห่งนี้ตลอดไป

       
       @@@@ “โอฬาร” ชี้แบนกระทบกระเบื้องราคาพุ่ง @@@
       
       ด้านนายอุฬาร เกรียวสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กระเบื้องโอฬาร จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์กระเบื้อง “โอฬาร” เผยว่า ในประเทศไทยมีการนำเข้าแร่ไครโซไทล์กว่า 32,000 ตันต่อปี ร้อยละ 90 นำไปเป็นส่วนผสมในการทำกระเบื้องมุงหลังคา ขนาด 4 มิลลิเมตร ส่วนอีกร้อยละ 10 ใช้เป็นส่วนผสมในการทำผ้าเบรก และท่อซีเมนต์ ซึ่งจะใช้แร่ไครโซไทล์เป็นส่วนผสมเพียงแค่ร้อยละ 8 เท่านั้น ซึ่งจะช่วยให้กระเบื้องเพิ่มความแข็งแรง อายุใช้งาน 30-50 ปี รวมถึง ป้องกันความร้อน และต้นทุนต่ำ สามารถขายได้ในราคาถูกแผ่นละ 25-30 บาท
       
       ทั้งนี้ ประเทศไทย มีการใช้กระเบื้องมุงหลังคาที่มีส่วนผสมแร่ไครโซไทล์มากว่า 50 ปี เท่าที่ผ่านมา ยังไม่ปรากฏว่า เป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งปอด

นายอุฬาร เกรียวสกุล เจ้าของธุรกิจกระเบื้อง ตรา "โอฬาร"
    
    ทว่า หากห้ามใช้แร่ไครโซไทล์ เปลี่ยนไปใช้วัสดุอื่น ไม่ว่าจะเป็นกระเบื้องมุงหลังคาแบบหนา หรือวัสดุทดแทน อย่าง PVA หรือเยื่อกระดาษ ราคากระเบื้องต่อแผ่นจะขยับเพิ่มไม่ต่ำกว่า 1-3 เท่าตัว อีกทั้งในมุมผู้ประกอบการต้องลงทุนเพิ่มในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรกว่า 30-50 ล้านบาทต่อเครื่อง และที่สำคัญ จะกระทบต่อผู้บริโภคกลุ่มที่มีรายได้น้อย เช่น เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ซึ่งจำเป็นต้องใช้กระเบื้องราคาถูกในการทำฟาร์มเลี้ยง หากต้องเปลี่ยนไปใช้กระเบื้องราคาสูง ต้นทุนการผลิตจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
       
       @@@@ แบนแร่ไครโซไทล์ คำตอบสุดท้ายจริงหรือ? @@@
       
       ปัจจุบัน แร่ไครโซไทล์ถูกใช้ในอุตสาหกรรมกรรม 114 ประเทศ มีจำนวน 48 ประเทศห้ามใช้ ส่วนใหญ่เป็นแถบยุโรป ซึ่งทั้งหมดยังไม่มีข้อมูลชัดเจนถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น รวมถึง ยังมีกรณีฟ้องร้องทั้ง “ห้ามใช้” และ “ยกเลิกการห้ามใช้” ในหลายๆ ประเทศ
       
       จากกรณีต่างๆ ในต่างประเทศ ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลไทย ประการแรก รัฐบาลต้องมีข้อเท็จจริงที่ทุกฝ่ายยอมรับ ยืนยันได้ว่า แร่ชนิดนี้เป็นอันตรายก่อให้เกิดมะเร็งปอดอย่างแท้จริง เพื่อไม่ตกเป็นเครื่องมือการค้า หรือเอื้อประโยชน์ให้คนเพียงบางกลุ่ม ประการต่อมา หากเป็นอันตรายจริง รัฐบาลต้องเตรียมมาตรการรองรับ ในการเปลี่ยน และทำลายกระเบื้องมุงหลังคาที่มีส่วนผสมแร่ไครโซไทล์ ซึ่งประเทศไทยใช้มาแล้วกว่า 50 ปี คาดว่า จะมีจำนวนกว่า 17.34 ล้านหลังคาเรือน
       
       ฉะนั้น การตัดสินใจเฉพาะแค่สั่งห้ามใช้แร่ชนิดนี้ อาจจะง่าย และแก้ที่ปลายเหตุเกินไป ทว่า หากมองข้อมูลให้รอบด้าน โดยมีมาตรฐานควบคุมการใช้ที่ถูกต้อง และปลอดภัย ภายใต้การติดตามอย่างเข้มงวดใกล้ชิด อาจจะเป็นคำตอบที่เกิดประโยชน์แก่ทุกฝ่าย 
       
       @@@@@@@@@@@



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th :
10 พฤษภาคม 2555 09:21 น.

รู้เท่าทัน ป้องกันโรคปริทันต์

                                            เหงือกอักเสบบวมแดง มีเลือดออกง่าย บางตำแหน่งมีเหงือกร่น


ท.พญ.ฉัตรแก้ว บริบูรณ์หิรัญสาร 
       งานทันตกรรม



มีผู้คนไม่น้อยที่เจ็บปวดด้วยโรคปริทันต์ หรือรำมะนาด เพื่อให้คุณรู้จักดูแลตนเองให้ห่างไกลจากโรคนี้ มีคำแนะนำมาฝากค่ะ 


โรคปริทันต์อักเสบ หรือ “รำมะนาด” สาเหตุเริ่มต้นมาจากการทำความสะอาดฟันไม่ดีพอ ทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรีย เมื่อทิ้งไว้นานขึ้นจะมีการตกตะกอนของแร่ธาตุจากน้ำลาย จนกลายเป็น “หินปูน” หรือ หินน้ำลาย ที่ไม่สามารถแปรงออกได้ หากปล่อยทิ้งไว้จะเกิดการทำร้ายเหงือกได้อย่างรุนแรงนะคะ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นโรคปริทันต์นะคะ เนื่องจากเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันของแต่ละคนด้วย 
   โดยธรรมชาติร่างกายจะหลั่งสารออกมาเพื่อกำจัดเชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามา ขณะเดียวกัน ก็ทำร้ายเนื้อเยื่อของตัวเองด้วย จึงเกิดเป็นโรคปริทันต์ขึ้น แต่หลายคนมักเข้าใจว่า เป็นเพียงโรคเหงือกอักเสบเท่านั้น แท้ที่จริงแล้ว การอักเสบนั้น จะลุกลามทำลายอวัยวะรอบๆ ฟันด้วย เช่น กระดูกเบ้าฟัน เอ็นยึดฟัน และผิวรากฟัน ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคปริทันต์รุนแรง ฟันจะโยกและอาจทำให้สูญเสียฟันได้
       
       สัญญาณอันตรายเมื่อเกิดโรคปริทันต์ คือ มีเลือดออกง่ายขณะแปรงฟัน เหงือกบวมแดง หรือมีหนอง มีกลิ่นปาก ฟันโยก เมื่อมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ควรมาพบทันตแพทย์ทันที เพื่อการตรวจรักษาที่ถูกต้องและถูกวิธีนะคะ

                                                ภายหลังขูดหินปูนแล้ว



สำหรับการรักษาโรคปริทันต์ ขั้นแรกต้องทำการกำจัดเชื้อที่สะสมอยู่ก่อน โดยการขูดหินปูนให้สะอาด และเกลารากฟัน ทำให้ผิวรากฟันเรียบ โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ร่องเหงือกลึกๆ และฟันกรามด้านในที่มีหลายๆ ราก ซึ่งขั้นตอนนี้อาจต้องใช้เวลา และทำซ้ำหลายๆ ครั้งให้สะอาด บางรายอาจต้องใช้ยาชาร่วมด้วย จากนั้น 4-6 สัปดาห์ ทันตแพทย์จะนัดกลับมาดูอาการอีกครั้ง ถ้ายังมีร่องลึกปริทันต์เหลืออยู่ อาจจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อแก้ไขความพิการของกระดูกเบ้าฟันที่ถูกทำลายไป ซึ่งการผ่าตัด จะเป็นการเข้าไปทำความสะอาดในตำแหน่งที่เครื่องมือไม่สามารถทำความสะอาดได้ถึง หรือทำการปลูกกระดูกในลักษณะรอยโรคที่เอื้อต่อการเกิดกระดูกใหม่ เมื่อผ่าตัดแล้วผู้ป่วยควรได้รับการตรวจติดตามผลการรักษา และให้ทันตแพทย์ขูดหินน้ำลาย เพื่อทำความสะอาดฟันเป็นประจำทุกๆ 3 เดือน เป็นการป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นโรคปริทันต์อีกค่ะ
       
       โรคปริทันต์ สามารถป้องกันได้ ด้วยการทำความสะอาดช่องปากและฟัน อย่างถูกวิธี ร่วมกับการใช้ไหมขัดฟันบริเวณซอกฟันทุกครั้ง รวมถึงเลิกสูบบุหรี่ ก็จะช่วยให้มีสุขภาพเหงือกและฟันที่แข็งแรงไปนานๆ ค่ะ
ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th 
9 พฤษภาคม 2555 08:47 น.













 





วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กรมวิทย์พัฒนาชุดทดสอบกัญชา-กัญชง สำเร็จรายแรกในประเทศ

กรมวิทย์พัฒนาชุดทดสอบกัญชา-กัญชง สำเร็จรายแรกในประเทศ




กัญชา
ชื่ออื่น ๆ : ยานอ(กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) กัญชาจีน(ทุกภาค)คุนเช้า(จีน)
ชื่อสามัญ : Cannabis, Marihuanam Indian Hemp, pot


ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cannabis indica, Cannabis sativa, Linn.


วงศ์ : CANNABILACEAE


ลักษณะทั่วไป: ต้น : เป็นพรรณไม้จำพวกหญ้าต้นเล็ก มีความสูงประมาณ 3-4 ฟุต ลักษณะลำต้นเป็นเหลี่ยม


ใบ : มีสีเขียว ลักษณะของใบแตกออกเป็นแฉก ๆ ใบหนึ่งราว 5-8 แฉก เป็นหยัก ใบเรียวยาว ลักษณะของมันจะเหมือนกับ ใบละหุ่ง ใบฝิ่นตัน และใบมันสำปะหลัง


ดอก : มีดอกเป็นสีเหลือง ดอกออกเป็นช่อ ซึ่งมีทั้งดอกช่อตัวผู้ และดอกช่อตัวเมีย (เรียกว่า กะหลี่กัญชา) และดอกของมันจะออกตามกิ่งใบ


ผล : ผลเป็น achene ในผลนั้นจะมีเมล็ดกลมเล็ก ๆ มีขนาดเท่ากับลูกผักชี


การขยายพันธ์ : ขยายพันธ์โดยการใช้เมล็ด ปลูกขึ้นดีในที่ที่มีอากาศเย็นและดินที่ชื้นแฉะ ตามเชิงเขา


ส่วนที่ใช้ : ใบ, ยอดอ่อน , เส้นใยของลำต้น, ดอก, เมล็ด




สรรพคุณ : ใบ ใช้รักษาโรคหอบ หืด วิธีนำมาใช้โดยการนำเอาใบสดมาหั่นให้เป็นฝอย แล้วนำเอาไปตากแห้ง จากนั้นก็นำมาสูบใช้เป็นยารักษาโรค ยอดอ่อน เมื่อนำมาสกัดด้วยแอลกอฮอล์ ซึ่งจะได้สารชนิดเรียกว่า ทิงเจอร์แคนเนบิสอินดิคา เป็นยาน้ำมีสีเขียวเมื่อกินเข้าไป ประมาณ 5-15 หยด ก็จะช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท เป็นยาสงบเส้นประสาท ทำให้นอนหลับ เคลิ้มฝัน เป็นยาแก้อักเสบ (antiinflammation)เป็นยาระงับปวด (analgesic) แก้โรคสมองพิการ แก้โรคบิด แก้ปวดท้อง และแก้โรคท้องร่วง เป็นต้น เส้นใยของลำต้น ใช้ในการทอผ้า ซึ่งจะได้ผ้าที่มีคุณภาพดี เหนียว คงทนมาก ดอก ใช้เป็นยารักษาแก้โรคประสาท เช่น คิดมาก นอนไม่หลับ ใช้กับผู้ป่วยที่เบื่ออาหารโดยใช้ปรุงอาหารให้กินช่วยกัดเสมหะในคอ โดยใช้ดอกของมันผสมกับยาฉุนพญามือเหล็ก หั่น แล้วใช้สูบ เมล็ด น้ำมันที่ได้จากการเมล็ดเป็นน้ำมันไม่ระเหย (fixedoil) ซึ่งจะนำมาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ใช้ทำสบู่ สีทาบ้าน เป็นต้น นอกจากนี้เศษ หรือการที่ได้จากการสกัดเอาน้ำมันออกแล้ว ยังใช้เป็นอาหารของโค กระบือ ได้


ถิ่นที่อยู่ : มีปลูกมากในยุโรป ประเทศบราซิล อเมริกันแถบตะวันออก และปลูกมากตามแนวเขาทางภาคเหนือของประเทศไทย


หมายเหตุ : กัญชา ปัจจุบันนี้ในทางเภสัช ถือว่าเป็นยาเสพติดให้โทษเพราะฤทธิ์ของมันทำให้ผู้ที่สูบ หรือเสพเข้าไปแล้วจะทำให้ติด ทำให้เพ้อฝัน ความจำเลอะเลือน ตัวสั่น และทำให้เป็นคนเสียสติเป็นคนวิกลจริตพิการได้อีกด้วย ฉะนั้นเมื่อมีการใช้ ในขนาด และปริมาณที่พอควร


หมายเหตุ : “กัญชา (ทั่วไป) ; กันชาจีน (กรุงเทพ) ; คุนเช้า (จีน) ” in Siam.Plant Names, 1948,p.94 “Hemp plant ” กะหลี่ น. ใบกัญชาที่งอหงิกเป็นช่อ คือดอกตัวเมียกัญชา.” พจนานุกรม 2493 น.120 Cannavil lativa Dutt., Com. Drugs India, 1928,p.57 “Infisn hrmp; Ganja. The unfertilized female flowering tops (Ganja) and resin (charas). Leaves (siddhi or bhang).


พจนานุกรม สมุนไพรไทย ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม



กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาชุดทดสอบสำหรับแยกกัญชาซึ่งเป็นยาเสพติด และกัญชงซึ่งเป็นพืชเส้นใยที่มีคุณภาพสูง โดยมีวิธีการใช้งานที่ง่ายให้ผลรวดเร็ว และมีความแม่นยำสูง เตรียมความพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนรัฐอนุญาตให้ปลูกกัญชงในประเทศได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
       
       นายแพทย์จักรธรรม ธรรมศักดิ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า การใช้ประโยชน์จากเส้นใยกัญชงซึ่งเป็นเส้นใยที่มีคุณภาพสูง รวมทั้งน้ำมันจากเมล็ดกัญชงเพื่อใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอางมีแนวโน้มที่จะทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นในตลาดโลก แต่เนื่องจากกัญชงมีลักษณะคล้ายกับกัญชา จึงยากต่อการจำแนก ในหลายประเทศสามารถปลูกกัญชงได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายโดยต้องควบคุมให้มีสารเสพติด คือ เตตราไฮโดรแคนนาบินอล (THC) ในปริมาณที่กำหนด เช่น ในประเทศแคนาดากำหนดให้มีสารเสพติด THC ในกัญชงไม่เกิน 0.3% ส่วนประเทศทางยุโรปกำหนดให้มีไม่เกิน 0.2% ประเทศออสเตรเลียกำหนดให้ไม่เกิน 0.5-1% สำหรับประเทศไทยยังไม่มีเกณฑ์หรือมาตรการควบคุม หากในอนาคตมีการส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถปลูกกัญชงได้ถูกต้องตามกฎหมาย การจำแนกกัญชาออกจากกัญชงจึงมีความสำคัญมาก





ทั้งนี้ จากการศึกษาปริมาณสารสำคัญในกัญชงที่ปลูกในพื้นที่ของมูลนิธิโครงการหลวง 4 พื้นที่ ได้แก่ สถานีเกษตรหลวงปางดะ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปางอุ๋ง ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่สาใหม่ และสถานีเกษตรหลวงอ่างขางและองค์การสวนพฤกษศาสตร์ 3 พื้นที่ ได้แก่ ศูนย์รวมพรรณไม้ที่สูงเขตร้อน อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ โรงเรือนเพาะชำพรรณไม้ (ห้วยตาด) อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ และศูนย์รวมพรรณไม้บ้านร่มเกล้าในพระราชดำริ อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก พบว่า กัญชงมีอัตราส่วนสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอลซึ่งเป็นสารเสพติด ต่อสารแคนนาบิไดออลซึ่งไม่มีฤทธิ์เสพติด ประมาณ 1.2 ซึ่งน้อยกว่ากัญชา 10-25 เท่า การใช้อัตราส่วนของปริมาณสารสำคัญไฮโดรแคนนาบินอล และแคนนาบิไดออล ก็จะสามารถจำแนกกัญชงออกจากกัญชาได้เพื่อเตรียมความพร้อมในการควบคุมการปลูกกัญชงให้ถูกต้องตามกฎหมาย
       กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 10 เชียงใหม่ ได้พัฒนาชุดทดสอบกัญชา-กัญชง (Cannabis test kit) ขึ้น ซึ่งสามารถจำแนกกัญชาที่ใช้เป็นยาเสพติดออกจากกัญชงที่ใช้เป็นพืชเส้นใยได้ มีวิธีตรวจที่ง่ายให้ผลรวดเร็ว และยังมีราคาถูกเมื่อเทียบกับวิธีการตรวจพิสูจน์โดยใช้เครื่องแก๊สโครมาโทกราฟ


นายบำรุง คงดี ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 10 เชียงใหม่ กล่าวเสริมว่า กัญชง เป็นไม้ล้มลุกมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์คล้ายกัญชาแตกต่างกัน คือ ต่อมน้ำมันของกัญชงมีน้อยกว่าจัดอยู่ในพืชซึ่งให้ประโยชน์หลักทางด้านสิ่งทอเป็นสำคัญโดยมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa L var. sativa สำหรับชุดทดสอบกัญชากัญชงที่ทางศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 10 พัฒนาขึ้นมานี้ ใช้หลักการตรวจแบบโครมาโตกราฟีผิวบาง (Thin Layer Chromatography, TLC)
       ในการแยกสารสำคัญในพืชกัญชา และหาปริมาณแต่ละสารโดยเทียบขนาดและความเข้มสีบนแผ่นทดสอบกับแผ่นเทียบสารมาตรฐาน หากค่าที่ได้น้อยกว่า 10 จัดเป็นกัญชง แต่ถ้าค่าที่ได้เท่ากับหรือมากกว่า 10 จัดเป็นกัญชา โดยปริมาณต่ำสุดของสารสำคัญในกัญชาที่อ่านผลได้ชัดเจนคือ เตตราไฮโดรแคนนาบินอล และแคนนาบิไดออล เท่ากับ 0.1 ไมโครกรัม และจากการประเมินประสิทธิภาพโดยเปรียบเทียบผลวิเคราะห์ ระหว่างวิธีแก๊สโครมาโตกราฟีกับชุดทดสอบที่พัฒนาขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 10 จำนวน 15 คน


      
   พบว่า มีค่าความน่าเชื่อถือดีเลิศ และมีความถูกต้อง ความไว และความจำเพาะของวิธี 100% ชุดทดสอบนี้นับเป็นชุดทดสอบที่ใช้จำแนกกัญชากัญชงรายแรกของไทย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงยุติธรรม โดยสามารถนำชุดทดสอบดังกล่าวมาใช้จำแนกกัญชา-กัญชง รวมทั้งเกษตรกรผู้ปลูกกัญชงสามารถใช้ชุดทดสอบดังกล่าวในการควบคุมคุณภาพในเบื้องต้น...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th
www.samunpri.com

กัญชาช่วยรักษามะเร็งบางมุมจากวงการวิทยาศาสตร์และการแพทย์


โดย ประสาท มีแต้ม
บทความเรื่อง “กัญชาช่วยรักษามะเร็ง : ข่าวที่ถูกเซนเซอร์มากที่สุดแห่งทศวรรษ!” เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้รับความสนใจจากผู้อ่านจำนวนมาก ผู้แสดงความคิดเห็นส่วนใหญ่เห็นด้วยและนำไปเผยแพร่ต่อ (share) แต่บางท่านบอกว่าไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาอ้างอิงหรืออธิบายกลไกการรักษา ในบทความชิ้นนี้ผมจะพยายามครับ แต่ทั้งนี้ก็ต้องให้เหมาะสมกับผู้อ่าน “หนังสือพิมพ์รายวัน” ที่ไม่ใช่ “วารสารการแพทย์” นอกจากนี้ผมเองเป็นนักวิทยาศาสตร์สาขาคณิตศาสตร์ซึ่งห่างไกลจากเรื่องนี้มาก แต่ที่เขียนก็เพื่อกระตุ้นให้สังคมและบุคคลที่อยู่ในวงการให้มาช่วยกันศึกษาปัญหาสำคัญของมนุษยชาติและของเราทุกคนด้วย
       
        ผมได้เขียนไว้ในเฟซบุ๊กว่า “หลังจากได้ค้นคว้าเรื่องกัญชากับมะเร็งมาได้หนึ่งสัปดาห์ บวกกับประสบการณ์บางอย่าง ทำให้ผมรู้สึกในขณะนี้ว่า ผมควรจะเลิกสนใจค้นคว้าเรื่องอื่นๆ ทั้งหมด แล้วมาสนใจเรื่องกัญชาอย่างเดียว รูปแบบการเอาเปรียบและฆ่าคนอย่างเลือดเย็นของระบบทุนนิยมมันช่างเหมือนกับขั้นตอนที่ผมเคยสรุปในเรื่องพลังงานว่า “หนึ่งล้างสมองสองปล้น” ไม่มีผิด” พร้อมกันนี้ผมได้แนะนำเว็บไซต์ที่น่าสนใจ (http://www.cannabisculture.com/articles/5169.html) รวมถึงวิธีการสกัดกัญชาใช้รักษาตนเองด้วย
       
        ในเรื่องพลังงาน พ่อค้าจะล้างสมองเราว่าพลังงานหมุนเวียนซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายนั้น ไม่มีประสิทธิภาพและไม่คุ้มทุน เมื่อทำให้คนเชื่ออย่างนั้นได้แล้ว จึงวางนโยบายพลังงานที่ต้องใช้เชื้อเพลิงที่เขาสามารถผูกขาดได้แต่ชาวบ้านเข้าถึงไม่ได้ เรื่องกัญชาก็เช่นเดียวกัน โหมโฆษณาจนคนเชื่อว่าอันตรายอย่างโน้นอย่างนี้แล้วก็ออกกฎหมายห้ามใช้เสียเลย ทั้งๆ ที่ทุกคนสามารถปลูกได้ในสวนครัวหรือกระถาง 
       
        จริงๆ แล้วผมค้นคว้าเรื่องกัญชาจากหลายแหล่งมาก สิ่งที่ผมทึ่งมากๆ ก็มาจากเอกสาร “สมาคมวิทยาศาสตร์ทางระบบประสาท (Society for Nuroscience)” ฉบับธันวาคม 2007 (www.sfn.org/briefings) ที่สรุปว่า ปกติแล้วร่างกายเราจะผลิตสารเคมีชนิดหนึ่งขึ้นมาเอง และสารตัวนี้มีอยู่ในกัญชา สร้างขึ้นมาเพื่ออะไร ก็เพื่อการกำกับควบคุมเกือบทุกกระบวนการทำงานของสมองและร่างกาย “เพื่อความถูกต้องผมขอคัดลอกข้อความดังนี้ The body makes its own versions of this ingredient, called endocannabinoids, which help regulate almost all brain and body processes.”




Dr.Jeffrey Dach แพทย์ชาวอเมริกันที่เขียนหนังสือและบทความวิจัยจำนวนมาก กล่าวไว้ในบล็อกของท่านว่า “กัญชาได้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์มานานกว่า 4 พันปีแล้ว ในจีนโบราณ อียิปต์ อินเดีย กรีกโบราณ…ในศตวรรษที่ 19 กัญชาถูกใช้เป็นยาสามัญทั่วโลก ใช้บรรเทาความเจ็บปวดเบื้องต้นจนกระทั่งมีการค้นพบยาเอสไพริน (ในปี พ.ศ. 2442) ในสหรัฐอเมริกาได้ประกาศห้ามใช้กัญชาในปี พ.ศ. 2480 ด้วยกฎหมายฉบับหนึ่ง ปัจจุบันการใช้กัญชาในวงการแพทย์อย่างถูกกฎหมายมีหลายประเทศ ได้แก่ แคนาดา เบลเยียม ออสเตรีย สเปน เนเธอร์แลนด์ อิสราเอล ฟินแลนด์ และใน 14 รัฐของสหรัฐอเมริกา” 
       
       ในเดือนพฤศจิกายน 2550 รายการของบีบีซีรายงานว่า “นักวิจัยในแคลิฟอร์เนียพบว่าสาร Cannabidiol (มีในกัญชา) สามารถต่อต้านมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ” 
       
       นายแพทย์ Dach ได้อ้างถึงคำอธิบายของศาสตราจารย์ทางชีววิทยามหาวิทยาลัยโคโลราโดท่านหนึ่งว่า “สาร Cannabidiol จะฆ่าเซลล์มะเร็ง ฆ่าเนื้องอกและปกป้องอวัยวะที่อยู่รอบๆ นั้น” ศาสตราจารย์ท่านนี้สรุปว่า
       


        “สารประกอบต่างๆ ในกัญชาทำหน้าที่ควบคุมกำกับทุกอย่างในร่างกายมนุษย์ กัญชาคือยามหัศจรรย์ ทุกอย่างในร่างกายได้รับดูแลรักษาด้วย endocannabinoids การใช้ประโยชน์จากกัญชาจะมีผลอย่างมากในการสร้างใหม่และฟื้นฟูร่างกายจากโรคต่างๆ โรคส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับวัยและสารพิษมีความสัมพันธ์กับสารในกัญชาดังกล่าว” 
       
       เราอาจจะเป็นห่วงว่า ถ้าให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายแล้วจะทำให้คนหันมาเสพติดกัญชากันมาก แต่กราฟข้างล่างนี้เป็นการเปรียบเทียบจำนวนร้อยละของวัยรุ่นสหรัฐอเมริกาที่สูบกัญชา พบว่าในรัฐที่ถูกกฎหมายมีวัยรุ่นเสพกัญชามากกว่ารัฐที่ผิดกฎหมายเพียงเล็กน้อย คือประมาณ 1% เท่านั้น ดังนั้น ทำไมเราจะต้องทุ่มเทงบประมาณและบุคลากรจำนวนมหาศาลไปกับเรื่องนี้ด้วยเล่า?
 ในด้านการผลิตยา Rick Simpson ผู้ป่วยที่ใช้กัญชารักษาตนเองกล่าวว่า กว่าศตวรรษมาแล้วที่บริษัทยาขนาดใหญ่ทั่วโลกได้ยึดเอาการรักษามะเร็งและโรคอื่นๆ มาอยู่ในมือของบริษัททั้งหมดเพื่อผลกำไรของตนเอง เมื่อ 85 ปีก่อนประชาชนทั่วโลกเคยใช้กัญชาซึ่งพบในธรรมชาติเป็นยา บริษัทยาจำนวนมากก็ผลิตยาจากกัญชามาหลายทศวรรษ ต้นกัญชาเป็นพืชจึงไม่มีการจดสิทธิบัตร สำหรับบริษัทยาแล้ว การไม่มีสิทธิบัตรหมายถึงการไม่ได้เงิน ดังนั้นจึงไม่มีแรงจูงใจในการผลิตยา
       
       การให้กัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมายจึงเป็นเรื่องผลประโยชน์ของบริษัทยาที่อิงแอบอยู่เบื้องหลังรัฐบาลมากกว่าเหตุผลอื่น บรรทัดสุดท้ายนี้ผมสรุปเองครับ
“กัญชาช่วยรักษามะเร็ง”: ข่าวที่ถูกเซนเซอร์มากที่สุดแห่งทศวรรษ!
ผมเขียนเรื่องนี้เพราะมีแรงบันดาลใจสองอย่างครับ คือ หนึ่ง มีเพื่อนคนหนึ่งป่วยเป็นมะเร็งแต่ปฏิเสธการรักษาด้วยวิธีการที่โรงพยาบาลนิยมใช้กัน เขาพยายามรักษาตนเองด้วยกัญชาแต่ก็มีปัญหาคือหากัญชาหรือตัวยาสำเร็จรูปที่มีขายในต่างประเทศไม่ได้ซึ่งผมจะค่อยๆ เล่าให้ฟัง และ สอง ผมได้อ่านบทความของคุณหมอวิจารณ์ พานิช ที่เกี่ยวกับกัญชาถึง 3 ชิ้น คือ “วิจัยกัญชาครบวงจร” “กัญชาเป็นยา” และ “กัญชารักษามะเร็ง”
       
        ผมขอเริ่มต้นด้วยบทความของท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ก่อนนะครับ ในบทความชิ้นแรก(18 ก.ย. 52) ท่านได้ตั้งเป็นโจทย์วิจัยว่า “ประเทศไทยควรใช้กัญชาแทนยาราคาแพงอะไรบ้าง ในผู้ป่วยกลุ่มไหนบ้าง โดยต้องระมัดระวังอะไรบ้าง คิดไปคิดมาน่าจะเป็นชุดโครงการวิจัยกัญชาครบวงจร ตั้งแต่การออกกฎหมายใหม่ ให้จำหน่ายกัญชาได้อย่างมีกฎเกณฑ์ ระมัดระวังผลร้าย ไปจนถึงการคัดพันธุ์ วิธีปลูก วิธีเก็บและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวไปจนถึงการแปรรูป ระบบlogistics และการจำหน่ายไปจนถึงการเสพอย่างปลอดภัย เวลานี้ ใน 12 รัฐของสหรัฐอเมริกา การจำหน่ายและเสพกัญชาถูกกฎหมายและอีก 15 รัฐ กำลังพิจารณา” 
       
        ในตอนท้ายท่านอาจารย์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “สังคมไทยถูกหลอกไม่ให้ผลิตสินค้าที่เราผลิตได้ดี กัญชาถูกทำให้เป็นสิ่งเลวร้ายทั้งๆ ที่มันมีคุณค่าอย่างยิ่งถ้าเรารู้จักใช้มัน ที่จริงกัญชาน่าจะเป็นพืชผักสวนครัวของทุกบ้านโดยที่คนไทยทุกคนรู้คุณและโทษของมันและเราควรส่งออกกัญชาคุณภาพสูงให้เป็นคุณแก่โลก” 
       
        ในบทความชิ้นที่สาม (30 ม.ค. 54) ท่านได้สารภาพว่า ความรู้ของท่านได้เพิ่มขึ้นจากบทความชิ้นที่สองดังตอนหนึ่งที่ว่า “ความเข้าใจเดิมของผมผิดที่เข้าใจว่ากัญชาเพียงช่วยลดความทุกข์ทรมาน เพราะมีฤทธิ์ลดปวดและลดความวิตกกังวล ดังนั้นหากกัญชามีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งได้ก็ยิ่งสมควรใช้กัญชาเป็นยา ทั้งยาสมุนไพรและยาแผนปัจจุบัน ประเทศไทยจะได้มีสินค้าคุณภาพสูงและราคาแพงสำหรับส่งออก เพราะภูมิอากาศของประเทศไทยเหมาะต่อการผลิตกัญชาคุณภาพสูง เราต้องช่วยกันกระตุ้นให้แก้ไขข้อตกลงระหว่างประเทศ ที่ตั้งป้อมรังเกียจกัญชา มีคนบอกว่า เป็นเล่ห์ของบริษัทยายักษ์ใหญ่ ที่ต้องการกีดกันคู่แข่งสินค้าของตน” 
       


        เพื่อนที่ป่วยคนนี้ของผมเป็นนักค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ตชั้นยอดเลยทีเดียว ตั้งแต่เขาเริ่มป่วยเขาเคยเล่าให้ผมฟังเมื่อ 2-3 ปีมาแล้วว่า “มีเด็กชาวบราซิลคนหนึ่งเป็นเนื้องอก (หรือเป็นมะเร็งผมจำไม่ได้แน่นอน)ในสมอง การแพทย์แผนปัจจุบันหมดทางรักษา ต่อมาเด็กมีอาการปวดอย่างรุนแรงมาก พ่อแม่ทนดูไม่ได้จึงให้กินกัญชาเพื่อระงับอาการปวด กินไปกินมาปรากฏว่าเด็กคนนี้หายเป็นปกติ เนื้องอกในสมองก็หายไป” 
       
        ขอเรียนย้ำว่า ผมฟังมาอย่างนี้ ขอผู้อ่านโปรดใช้วิจารญาณเอาเองนะครับ แต่ที่เล่ามาก็ด้วยความหวังว่าท่านที่มีความรู้จะช่วยกันศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อให้ “เป็นคุณต่อโลก”อย่างไรก็ตาม ผมก็ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมในบางประเด็นที่ผมคาดว่าท่านผู้อ่านทั่วไปคงจะสนใจ แล้วก็นำมาเล่าต่อในที่นี้ โดยใช้คำหลักว่า “Marijuana and cancer”
       
        พบว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริการู้ว่า “กัญชาสามารถรักษามะเร็งได้” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 แต่ก็เก็บเงียบเป็นความลับไม่ให้ประชาชนรู้เพราะมีกฎหมายว่ากัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ประชาชนเพิ่งได้รับทราบข่าวนี้ในอีก 26 ปีต่อมา เรื่องนี้จึงถูกจัดเป็น “ข่าวที่ถูกเซนเซอร์มากที่สุดแห่งทศวรรษ” 
       
        ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนชาวอเมริกันเมื่อปี 2554 พบว่าร้อยละ 50 เห็นด้วยที่จะให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ในขณะที่เมื่อ 6 ปีก่อนมีผู้เห็นด้วยเพียง 36% เท่านั้น
       
        ปัจจุบันจำนวนรัฐที่ถือว่ากัญชาเป็นสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมายได้เพิ่มขึ้นเป็น 16 รัฐ (แต่ไม่ทราบว่ามีการควบคุมหรือกติกาอย่างไร) ในปลายปีนี้ รัฐโคโลราโด จะมีการลงประชามติในเรื่องนี้
       


        ปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยที่ได้ลงทะเบียนเพื่อขอรักษาด้วยกัญชาได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในหลายประเทศ เช่น อิสราเอล แคนาดา เนเธอร์แลนด์ ในรัฐมิชิแกนของสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยมาลงทะเบียนถึงกว่า 1.3 แสนคน (ประมาณ 1.3% ของประชากรทั้งหมดของรัฐ) ถ้ารวมหมดทุกรัฐก็เกือบหนึ่งล้านคน
       
        ในด้านประสิทธิภาพของตัวยาจากกัญชา งานวิจัยของมหาวิทยาลัย Harvard ( Science Daily Apr. 17, 2007) จากการทดลองกับหนูที่ฉีดเซลล์มะเร็งปอดในคนเข้าไป กัญชาสามารถลดขนาดของเนื้องอกได้ 50% เมื่อเทียบกับหนูที่ไม่ได้ใช้กัญชา และสามารถลดความสามารถในการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังสามารถลดอาการบวมอักเสบได้ถึง 60% ทั้งนี้ภายในเวลาเพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น
       
        มีการคาดการณ์กันว่า รัฐโคโลราโดจะมีรายได้จากการเก็บภาษีธุรกิจยาที่ผลิตจากกัญชาปีละ 40 ล้านดอลลาร์ ขอแถมอีกนิดครับ จากเอกสารที่ผมอ่านพบว่า กัญชา 6 ต้น สามารถสกัดน้ำมันกัญชาได้ 28 กรัม (เปรียบเทียบกับยาสีฟันขนาดกลางมีน้ำหนัก 160 กรัม สามารถใช้ได้หลายเดือน) สำหรับวิธีสกัดสามารถค้นได้จาก YouTube ครับ แต่ปัญหามีอยู่ว่าจะเอาต้นกัญชามาจากไหน ในเมื่อกัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมายสำหรับคนบริสุทธิ์ที่ถูกจับได้ในประเทศไทย แต่สำหรับนักค้ายาเสพติดมักจะไม่ถูกจับครับ
       
        ผมถามลูกศิษย์หลายคนที่เป็นแพทย์ว่าทำอย่างไรให้ได้ยาที่สกัดจากกัญชา เขาตอบว่าเมืองไทยไม่มีถ้าจะซื้อมาจากต่างประเทศ “ใครถือมาก็ถูกจับ” ผมว่าวิธีการที่รัฐไทยทำอยู่นี้เป็นการฆ่าคนไทยอย่างเลือดเย็น
       
        สุดท้ายผมขอถามท่านผู้อ่านก็แล้วกันว่า “ครอบครัวใดไม่มีคนเป็นมะเร็งเลยยกมือขึ้น” และสุดท้าย (ที่ไม่ใช่ประเด็นใหม่) คือเท่าที่ผมค้นเจอ กัญชารักษาโรคเอดส์ได้ด้วย แค่สองโรคนี้คนไทยเป็นกันนับล้านคนครับ...




ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:


www.manager.co.th